มีมือใหม่หัดถ่ายภาพคนหนึ่งที่สนใจการขายภาพออนไลน์ ถามผมเกี่ยวกับภาพจำนวนหนึ่งของผมที่มีขายอยู่ในไมโครสต็อก ถึงวิธีคิดหรือวิธีการถ่ายภาพนั้นอย่างไรจึงออกมาในลักษณะที่เขาคิดว่า ตัวเขาเองพยายามถ่ายภาพลักษณะนั้นอยู่บ่อยครั้ง แต่ส่วนใหญ่จะได้ภาพที่ยังไม่เป็นอย่างที่อยากได้เหมือนที่เห็นจากภาพตัวอย่างดังกล่าว หรือจากภาพของนักถ่ายภาพท่านอื่นๆ ที่เคยเห็น เขาบอกว่า ดูเหมือนจะถ่ายง่าย แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ง่ายนัก คำถามนี้ถามสั้น แต่เวลาตอบยากมาก
เนื่องจากผมก็คงเหมือนกับนักถ่ายภาพที่ถ่ายภาพมานานมากๆ อีกหลายๆ ท่าน ก็คือเวลาถ่ายภาพ (ส่วนใหญ่) ก็จะถ่ายไปแบบอัตโนมัติหรือตามสัญชาตญาณเสียมากกว่าจะมานั่งคิดว่าจะต้องถ่ายตามหลักนั้นหรือกฏนี้ จริงอยู่แม้ว่าตอนเริ่มถ่ายภาพใหม่ๆ นักถ่ายภาพระดับจริงจังทุกคนก็จะเรียนรู้เรื่องกฎต่างๆ กันอย่างเข้มข้น เพื่อใช้เป็นแนวทางในการสร้างสรรค์ผลงานของตัวเอง และการถ่ายภาพในช่วงแรกๆ ก็มักจะนึกก่อนถ่ายอยู่เสมอว่า ถ่ายแบบนี้เข้ากับกฎอะไรบ้างที่เพิ่งอ่านหรือศึกษามา แต่พอผ่านไปสักระยะ ก็กลายเป็นว่าถ่ายภาพกันโดยไม่ได้หยุดคิดถึงเรื่องกฎต่างๆ กันสักเท่าไหร่ ทั้งนี้ไม่ใช่ว่านักถ่ายภาพมือเก่าจะถ่ายกันแบบไม่มีกฏ ไม่ยึดถือทฤษฎี ไม่มีหลักการนะครับ ทุกคนก็ยังคงมีสิ่งเหล่านั้นอยู่ครบถ้วนเหมือนเดิม เพียงแต่ว่า เป็นการนำมาใช้โดยอัตโนมัติโดยที่ตัวเองก็ยังไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำในบางครั้ง ถ้าจะเปรียบเทียบกับอะไรสักอย่างให้เป็นรูปธรรม ผมขอเปรียบเทียบเหมือนการหัดขับรถยนต์แบบเกียร์แมนนวลทั่วไป ตอนที่หัดขับใหม่ๆ วันแรกๆ เราจะต้องคิดคำนวณอยู่ตลอดเวลาว่า ความเร็วขนาดนี้ควรเข้าเกียร์ไหน รอบเครื่องระดับนี้ควรเหยียบคลัทช์เปลี่ยนเกียร์ได้แล้วยัง โค้งระดับนี้จะต้องลดความเร็วให้อยู่ในระดับไหน ฯลฯ และอื่นๆ อีกมากมายที่จะต้องคิดจะต้องคำนวณ แต่ถ้าขับรถสักพัก ยิ่งยาวนานเป็นปีๆ เราจะพบกว่า เราขับรถระยะทางไกลๆ หรือขับติดต่อกันหลายๆ ชั่วโมง โดยไม่ต้องคอยเพ่งสมาธิอยู่กับการคิดเลยว่า จะต้องทำกระบวนการที่ว่ามานั้นในตอนไหนบ้าง ทุกอย่างมันเป็นไปโดยอัตโนมัติจนเราจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่า เราคิดเรื่องเหล่านั้นตอนไหนบ้างในการขับรถมานับร้อยกิโลเมตรติดต่อกัน เป็นต้น โดยทั่วไปแล้ว การถ่ายภาพก็คล้ายๆ กันครับ
ภาพตัวอย่างที่ถูกนำมาเป็นตัวอย่างในการถาม ซึ่งเป็นที่มาของบทความตอนนี้
ถ่ายด้วยเทคนิคโดดเด่นด้วยสีสัน ผสมกับ เทคนิคชัด-เบลอ
ภาพที่ว่านั้นก็คือภาพในรูปแบบที่วัตถุเป้าหมายที่เราจะถ่าย เป็นวัตถุอย่างเดียวกัน หรือประเภทเดียวกัน ที่อยู่เป็นชุด เป็นกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นแนวตั้งหรือแนวราบ ตัวอย่างที่ถูกยกมาถามได้แก่ ภาพดอกกุหลาบที่ห่ออยู่ในกระดาษลูกฟูก เป็นห่อเล็กๆ จำนวนมากมายวางเรียงกันอยู่ในร้านขายดอกไม้ ซึ่งถ้าดูเผินๆ ก็จะดูกลมกลืนกันละลานตาไปหมด มีหลักการอย่างไรจึงจะถ่ายให้มีจุดสนใจที่ตรึงสายตาผู้ดูภาพไว้ให้ได้ ไม่ดูสะเปะสะปะหรือดูรกรุงรังจนหาวัตถุหลักของภาพไม่ได้
ภาพที่ถ่ายจากจุดเดียวกันกับภาพแรก แสดงให้เห็นว่าจริงๆ แล้วมีวัตถุลักษณะเดียวกันอยู่เป็นจำนวนมาก
ปกติแล้วการถ่ายภาพที่ต้องการจะแยกวัตถุออกจากสิ่งอื่นๆ นั้นมีอยู่สองลักษณะใหญ่ๆ ครับ คือในรูปแบบที่ตัววัตถุกับฉากหลังมีลักษณะทางกายภาพแบบแยกกันอยู่ เป็นคนละอย่าง เป็นคนละส่วนกันอยู่แล้ว แบบนี้ถ่ายไม่ยาก เพียงแต่ใช้หลักการเรื่องรูรับแสงควบคุมระยะชัดลึก กับหลักการในการเลือกใช้ทางยาวโฟกัสของเลนส์ หรือไม่ก็การเลือกประเภทของเลนส์ที่จะนำมาให้ ส่วนใหญ่ก็จะสามารถถ่ายให้วัตถุลอยเด่นจากฉากหลังดูเป็นพระเอกของภาพได้ไม่ยากนัก อีกแบบหนึ่งที่จะกล่าวถึงกันในบทความตอนนี้ก็คือ แบบที่วัตถุมีลักษณะรวมกลุ่มอยู่กับวัตถุอื่นๆ ที่มีลักษณะเหมือนกันหรือคล้ายๆ กันจำนวนมาก ซึ่งแบบนี้จะถ่ายยากกว่า ถ้าไม่ระวังให้ดี ก็จะได้ภาพที่มีลักษณะดูรกรุงรัง หรือไม่ก็ซ้อนทับกันจนหาจุดสนใจหลักในภาพไม่ได้ ออกแนวที่เรียกว่า Snap Shot เสียเป็นส่วนใหญ่ การถ่ายภาพในลักษณะสร้างจุดสนใจหลักในภาพหรือที่ผมจะเรียกง่ายๆ ว่า “พระเอก” ให้กับวัตถุในรูปแบบดังกล่าว สามารถทำได้ด้วยการใช้สิ่งต่อไปนี้ครับ
แก้วระบายสีจำนวนมากตั้งเรียงรายอยู่ด้วยกัน การวางใบสีเหลืองไว้ในตำแหน่งที่ชัดที่สุด
เป็นการวางแผนล่วงหน้าด้วยเจตนาจะให้สีเหลืองเป็นสีที่เด่นที่สุด ถือเป็นพระเอกของภาพนี้
โดดเด่นด้วยสีสัน
ถ้ากลุ่มวัตถุที่เราจะถ่าย มีลักษณะเหมือนหรือคล้ายกัน แต่สีสันมีความแตกต่าง สิ่งที่จะต้องทำก็คือ มองหาสีสันที่โดดเด่นหรือตัดกับสีอื่นๆ ออกมาให้ได้เสียก่อน เมื่อแยกหรือเลือกได้แล้ว ก็ทำการอุปโลกน์วัตถุชิ้นนั้นให้เป็นผู้นำหรือเป็นพระเอกของเราในภาพนั้น อย่างภาพดอกกุหลาบสีเหลืองในห่อกระดาษนั้นเป็นภาพที่ถูกนำมาถามเป็นตัวอย่างตามที่กล่าวถึงในตอนต้น ถ้าดูภาพประกอบที่ 2 จะเห็นว่า จริงๆ แล้วมีห่อกุหลาบจำนวนมาก มีสีสันต่างๆ มากมายวางเรียงรายอยู่ด้วยกัน เมื่อแรกที่เห็นดอกกุหลาบกลุ่มนี้อยู่หน้าร้านซึ่งอยู่ริมถนนของแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวพลุกพล่าน (ตลาด Chaina Town กัวลาร์ลัมเปอร์ มาเลเซีย) ผมใช้เทคนิคของช่างภาพรุ่นพี่ๆ หลายคนที่เคยแนะนำไว้ คือการไม่รีบร้อนยกกล้องขึ้นถ่ายภาพ แต่ใช้วิธีเดินวนไปวนมาอย่างช้าๆ เปลี่ยนมุมดูภาพดูทิศทางแสงไปเรื่อยๆ ทำท่าให้ดูเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วๆ ไป เพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตาของเจ้าของร้านดอกไม้ ถึงแม้ว่าปกติเขาจะไม่ขัดข้องอะไรกับการที่เราจะถ่ายภาพ แต่ทำตัวให้ดูเรียบๆ ธรรมดาไว้จะดีกว่า (แต่จุดประสงค์จริงๆ ของเรามีมากกว่านั้น) หลังจากสำรวจสีสันของดอกไม้ และเลือกทิศทางแสงที่ต้องการได้แล้ว ก็ถึงขั้นเลือกเลนส์ที่จะใช้ ปกติเวลาท่องเที่ยวลักษณะนี้ ก็จะติดเลนส์ซูมมาตรฐาน 24-70 มม. เอาไว้กับกล้องเป็นเลนส์หลัก แต่เนื่องจากกุหลาบสีเหลืองเป้าหมายที่เลือกไว้ จะอยู่ในตำแหน่งกลางๆ ห้อมล้อมด้วยดอกไม้ห่ออื่นๆ อยู่ไกลพอสมควร จึงค่อยๆ หยิบเลนส์ 70—200 มม. ออกมาเปลี่ยน แล้วค่อยถ่ายเจาะเข้าไป โดยให้ดอกสีเหลืองที่หมายตาไว้ เป็นวัตถุหลัก ใช้รูรับแสง f/4 เพื่อให้ดอกไม้ห่ออื่นๆ อยู่นอกระยะชัด จริงๆ แล้วภาพนี้ใช้สองเทคนิคเข้ามาช่วย คือเทคนิคเลือกสีหลัก กับเทคนิคชัดตื้น แต่ผมคิดว่า ภาพนี้ต่อให้ชัดลึกกว่านี้ สีเหลืองสดใสที่เลือกไว้ในตอนแรก ก็ยังคงเด่นกว่าสีอื่นๆ และเป็นจุดตรึงสายตาของภาพนี้ได้อยู่ดีนั่นเอง
คลิปหนีบผ้าที่มีรูปทรงเหมือนกันทุกประการ จึงต้องใช้การซ้อนทับและหมุนตำแหน่ง
เพื่อให้ชิ้นที่ไม่ต้องการให้เด่น กลายเป็นที่สนใจในภาพมากนัก
รูปทรง และ การทำให้เสียรูปทรง
แล้วถ้าในบางกรณี มีวัตถุที่เหมือนๆ หรือคล้ายๆ กันจำนวนมาก และมีสีสันที่เหมือนๆ กันหรือคล้ายๆ กันจนเราสร้างวัตถุหลักด้วยสีสันไม่ได้ จะทำอย่างไร ถ้ามันเหมือนกันมาก ก็ต้องใช้วิธีการทำให้สิ่งที่เหมือนกัน กลายเป็นสิ่งที่แตกต่างกัน คลิปหนีบผ้าเหล่านี้ มีลักษณะเหมือนกันทุกประการ แถมสีสันส่วนใหญ่ก็เหมือนกัน วิธีของผมก็คือ ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ “จัดฉาก” ได้ สามารถกำหนดมุมของวัตถุได้ ก็เลือกพระเอกขึ้นมาตัวหนึ่ง แล้วก็ทำการ “จัดฉาก” ทำให้ที่เหลือ “ดูด้อย” เสียให้หมด ตัวไหนที่อยู่ในระยะชัดเหมือนวัตถุที่เรากำหนดให้เป็นวัตถุหลัก ก็ค่อยๆ จับหมุนให้อยู่ในทิศทางที่ดูไม่เด่น หรือไม่ก็เลื่อนให้ไปซ้อนทับกับตัวอื่นๆ จนไม่มีตัวใดเด่นขึ้นมาเกินตัวที่เราเลือกไว้ให้เป็นวัตถุหลัก ส่วนตัวที่อยู่นอกระยะชัด ก็ไม่ต้องสนใจมาก มันจะหันมุมไหนก็เบลอจนไม่สามารถเป็นจุดสนใจหลักได้อยู่แล้ว เท่านี้ก็เรียบร้อย
ภาพดอกหญ้าริมทาง ถ่ายด้วยเทคนิค สูงและต่ำ
สูงและต่ำ
ดอกหญ้าข้างถนนนี้ขึ้นเป็นแนวยาวติดต่อกันหลายสิบเมตร ฉากหลังเป็นสีของท้องฟ้ายามอัสดงดูสวยอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ว่านึกจะถ่ายตรงจุดไหนก็ได้ภาพที่ดี ผมต้องค่อยๆ เดินมองเป็นระยะทางหลายสิบเมตรกว่าจะเจอกับกลุ่มที่มีฟอร์มของรูปทรงสูงต่ำพอเหมาะพอดี ถ้าส่วนปลายเท่ากันพอดีเกินไป ก็จะได้ภาพที่ดูนิ่งๆ ไม่มีเรื่องราว (ระหว่างความนิ่งของภาพ ซึ่งหมายถึงความคมชัด กับความนิ่งของเรื่องราวในภาพ เป็นคนละเรื่องกันนะครับ ภาพนี้เราต้องถ่ายให้นิ่งคมชัดแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าไหวเบลอก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นภาพเสียไปทันทัน) ถ้าความสูงต่ำแตกต่างกันมากเกินไป ก็จะให้ความรู้สึกกระโดดหรือลักลั่นไม่ต่อเนื่อง ความสูงต่ำที่รับกันพอดี จะให้ความรู้สึกไหลลื่น มีชีวิตชีวา
การแบ่งกลุ่มด้วยสิ่งซึ่งเป็นจุดร่วมที่ชัดเจนเช่น สี ขนาด เป็นต้น ช่วยให้ภาพดูน่าสนใจมากขึ้น
จัดกลุ่มให้เป็นระเบียบ
บางสถานการณ์ก็ไม่สามารถถ่ายภาพโดยเลือกวัตถุเพียงชิ้นเดียวมาเป็นวัตถุหลักในภาพได้ และไม่สามารถเข้าไปยุ่มย่ามหรือจับต้องตัววัตถุที่เราจะถ่ายได้ ลองมองหาความเป็น “กลุ่ม” แล้วหามุมที่ถ่ายแบบแบ่งกลุ่มวัตถุเหล่านั้นออกมาให้ชัดเจนในลักษณะล้อหรือเปรียบเทียบกัน ก็เป็นวิธีที่น่าสนใจ ภาพโลหิตในหลอดทดลองที่รอการตรวจวิจัย การจะเข้าไปหยิบจับจัดวางให้อยู่ในมุมที่เราต้องการนั้นคงจะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม สิ่งที่ทำได้คือการมองหาวิธีถ่ายตามสภาพความจริงที่เป็นอยู่ การแยกหมวดหมู่ของกลุ่มโลหิตเป็นสีต่างๆ นั้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่แล้ว เพียงแต่เราเลือกให้ถูกว่าจะถ่ายออกมาอย่างไร วิธีที่ผมเลือกสำหรับกรณีนี้ คือการให้สีแดงเป็นพระเอก ส่วนสีอื่นๆ ดูเผินๆ เป็นพระรอง แต่ถูกลดบทบาทซ้ำอีกทีด้วยการปล่อยเบลอทั้งหน้าและหลัง สุดท้ายแล้วสีอื่นก็กลายเป็นเพียงตัวประกอบไปในที่สุด
เทคการแยกผีเสื้อออกจากกลุ่ม ช่วยให้มีจุดเด่นในภาพ จากสิ่งที่เหมือนๆ กันทั้งหมด
แยกออกจากกลุ่ม
โดยทั่วไปแล้ว วัตถุเป้าหมายในการถ่ายภาพที่มีลักษณะเหมือนหรือคล้ายกันจำนวนมากๆ จะมีวิธีถ่ายภาพโดยให้ความสำคัญเท่าๆ กันหรือใกล้เคียงกัน ให้ดูลงตัวได้อยู่สองสามวิธีด้วยกัน คือถ้ามีจำนวนมากจริงๆ จนดูตื่นตาตื่นใจก็ถ่ายเก็บทั้งหมดลงในเฟรมเดียว หรือไม่ก็ถ่ายเพียงสองตำแหน่งเพื่อเปรียบเทียบกันในด้านขนาด สีสัน ความเหมือน ความแตกต่าง ฯลฯ นอกนั้นส่วนใหญ่แล้วถ้ามีจำนวนจะน้อยก็ไม่น้อย จะมากก็ไม่มาก หากว่าถ่ายโดยไม่พยายามหาพระเอกขึ้นมาเป็นตัวชูโรง ก็มักจะได้ภาพที่ดูครึ่งๆ กลางๆ จะดูดีก็ไม่ใช่ จะดูแย่ก็ไม่เชิง วิธีที่ผมชอบใช้ก็คือ การแยกพระเอกเพียงหนึ่งเดียวออกมาให้เด่นๆ ไปเลย ปล่อยที่เหลือให้เป็นตัวเสริมเรื่องราวหรือบรรยากาศก็พอ ภาพผีเสื้อที่กำลังลงกินดินโป่งเป็นตัวอย่างสำหรับกรณีนี้ ยามสายๆ แดดเริ่มร้อน เป็นเวลาที่ผีเสื้อบางส่วนเริ่มหลบเข้าร่ม จำนวนผีเสื้อที่อยู่ในเฟรมก็มีจำนวนน้อยลงจนไม่สามารถถ่ายให้ดูเยอะจนตื่นตาตื่นใจได้ อีกทั้งเป็นการถ่ายจากขอบรอบนอกของบริเวณที่ทางเจ้าหน้าที่ได้กั้นดินโป่งไว้เป็นบริเวณห้ามเข้า จึงไม่สามารถเข้าไปถ่ายจ่อๆ ตัวเดียวด้วยเลนส์มาโครได้ วิธีการเดินวนหามุมที่มองเห็นผีเสื้อเพียงตัวเดียวเด่นแยกออกจากกลุ่มจึงถูกนำมาใช้ในที่สุด
จำนวนของวัตถุก็ให้ผลในการมองที่ไม่เหมือนกัน
ดาวล้อมเดือน
ถ้าลักษณะของวัตถุจำนวนมากอยู่ในระนาบเดียวกันทั้งหมด ดูแล้วไม่เหมาะที่จะสร้างพระเอกด้วยวิธีการอื่นๆ ที่ว่ามา ลองใช้วิธีดาวล้อมเดือนนี้ดูครับ หลักการของวิธีนี้ คือถ่ายจำนวนของวัตถุให้มีจำนวนเป็นเลขคี่ พยายามให้น้ำหนักภาพสมมาตร วัตถุที่อยู่ตรงกลางจะกลายเป็นจุดเด่นไปโดยอัตโนมัติแม้ว่าจะมีความคมชัดและสีสันที่เหมือนหรือคล้ายกัน จำนวนวัตถุเป็นเลขคี่แล้ว ยิ่งได้จำนวนแถวในภาพเป็นแถวคี่ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ เดือนของเราจะดูเหมือนถูกห้อมล้อมไปด้วยดาวจำนวนมาก การถ่ายภาพด้วยวิธีนี้ เป็นคนละเรื่องกับทฤษฎีถ่ายภาพที่ห้ามวางวัตถุหลักไว้กลางภาพ ประเภทถ่ายภาพคนครึ่งตัวอยู่ตรงกลางภาพเป๊ะ ดาวล้อมเดือนที่ผมว่านี้ เป็นหลักการบังคับสายตาของผู้ดูภาพให้ไปโฟกัสตรงจุดที่เราต้องการ โดยที่รอบๆ จุดนั้นยังมีเรื่องราวอื่นๆ ล้อมรอบอยู่ ไม่ใช่พื้นที่ว่างๆ ที่ทำให้ภาพดูลอยๆ ขาดน้ำหนัก เหมือนการวางวัตถุเดี่ยวๆ ไว้กลางภาพพอดี ซึ่งอย่างนั้นไม่แนะนำครับ
ปกติภาพแบบแปลกแยกเช่นนี้ จะหาถ่ายได้ไม่ยาก
แปลกแยก
วิธีนี้น่าจะเป็นวิธีคลาสสิกที่สุดอย่างหนึ่งในการถ่ายภาพวัตถุเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากให้ดูน่าสนใจ มองหาวัตถุที่เป็นพวกเดียวกันแต่แปลกแยกในรายละเอียดหรือทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับวัตถุอื่นๆ ยิ่งวัตถุที่เหมือนกันมีจำนวนมากเท่าใด เพียงหนึ่งเดียวที่แปลกแยกก็ยิ่งมีความน่าสนใจเท่านั้น บางครั้งถ้าเราเห็นวัตถุที่มีจำนวนมาก แต่ไม่มีอะไรแปลกแตกต่างตามที่เราต้องการ ก็อาจจะต้องมีการสร้างความแปลกแยกนั้นขึ้นมาด้วยตัวเราเอง ภาพลักษณะนี้เข้าใจว่าบรรดาผู้ชื่นชอบการถ่ายภาพก็คงจะเห็นกันจนชินตา และเคยมีโอกาสลองถ่ายกันอยู่บ่อยๆ
ถ้าวัตถุที่ล้อมรอบวัตถุหลักไม่ครบ แน่นอนว่าสายตาของผู้ดูภาพ
ก็ย่อมจะถูกตรึงอยู่กับภาพที่ครบทุกส่วนโดยอัตโนมัติ
ครบ-ขาด
เทคนิคนี้เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ผมใช้บ่อยครั้งในการถ่ายภาพวัตถุจำนวนมาก และได้เคยนำมาเขียนบ้างแล้วในฉบับก่อนหน้านี้ มีวัตถุมากมายที่สามารถถ่ายภาพให้ออกมาในลักษณะนี้ได้ หลักการคือพยายามถ่ายให้วัตถุชนิดเดียวกัน ที่เหมือนกันหรือคล้ายกันในภาพ มีอยู่ในภาพจำนวนมาก แต่มีองค์ประกอบที่ครบสมบูรณ์เพียงอย่างเดียวหรือหนึ่งเดียวเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะจงใจถ่ายให้ขาด ให้แหว่ง ให้วิ่น หรืออะไรก็ตามที่ทำให้มันดูไม่ครบสมบูรณ์ ซึ่งจะเป็นการบังคับสายตาและความรู้สึกของผู้ดูภาพให้มองหาสิ่งที่มันครบสมบูรณ์ ซึ่งในที่สุดก็จะไปพบกับพระเอกของเราตามที่เราต้องการ โดยที่ไม่ค่อยได้สังเกต เมื่อผมกลับไปค้นหาภาพที่เคยถ่ายไว้เก่าๆ เพื่อนำมาประกอบกับบทความชิ้นนี้ ปรากฏว่า เมื่อพิจารณาดีๆ แล้วผมเจอภาพของตัวเองที่ถ่ายด้วยเทคนิคนี้มากกว่าที่คิด คือบางทีก็ถ่ายไปโดยอัตโนมัติโดยไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าจะต้องใช้เทคนิคนี้แต่อย่างใด เทคนิคนี้จะง่ายยิ่งขึ้นถ้ามีช่วงความยาวของเลนส์ใช้อยู่หลายช่วง ซึ่งสามารถจะเลือกใช้ให้เหมาะสมกับวัตถุต่างๆ ที่เราจะถ่ายได้ เลนส์ระยะเทเลจะใช้ประโยชน์ได้บ่อยครั้งกว่าเลนส์มุมกว้างสำหรับวิธีนี้ครับ
เทคนิค ชัด-เบลอ จะไม่ใช่การพยายามเบลอฉากหลังหรือวัตถุรองจนละลายหายไป
ไม่สามารถมองเห็นหรือรู้ได้ว่าเป็นภาพอะไร
แต่จะเน้นการเบลอในระดับพอดีๆ ที่ยังคงรู้ได้ว่าวัตถุนั้นคืออะไร
เพื่อเอาไว้เสริมเรื่องราวหรือความหมายของวัตถุหลัก
ชัด-เบลอ
เป็นเทคนิคยอดนิยมอย่างแท้จริงในการถ่ายเพื่อเน้นวัตถุที่เหมือนหรือคล้ายกันที่อยู่เป็นกลุ่มก้อน ให้มีพระเอกเด่นขึ้นมาในความเหมือนเหล่านั้น ซึ่งผมคิดว่าเป็นวิธีที่นักถ่ายภาพทั่วๆ ไปเกือบทุกคนเคยใช้กันมาแล้ว จริงๆ แล้วเทคนิคนี้ก็ไปแทรกเป็นตัวช่วยหรือเทคนิคเสริมอยู่ในเทคนิคอื่นๆ อีกทีหนึ่งอยู่บ่อยครั้ง เลนส์ที่มีรูรับแสงกว้าง เลนส์ระยะเทเลมากๆ และเลนส์มาโคร เป็นอุปกรณ์ที่ทำให้เทคนิคนี้ได้ผลชัดเจนและง่ายในการถ่ายมากขึ้น สิ่งที่นักถ่ายภาพต้องมี คือความสามารถและเทคนิคในการตัดสินใจว่าจะเลือกจุดไหนหรือวัตถุอะไรในเฟรมภาพให้เป็นพระเอกของภาพ แล้วทำการโฟกัสภาพลงไปบนจุดนั้น ปล่อยส่วนอื่นๆ ให้เบลอจนกลายเป็นเพียงส่วนประกอบเพื่อเสริมให้ภาพสมบูรณ์ขึ้นเท่านั้นเอง
การจะระบุให้จัดเจนลงไปว่า วิธิการใดใช้กับวัตถุแบบไหนนั้น เป็นสิ่งที่ไม่สามารถบอกได้จำเพาะเจาะจงครับ ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่แต่ละคนเจอในภาคสนาม บางครั้งก็ใช้วิธีเดียว บางครั้งในหนึ่งภาพก็ใช้หลายๆ วิธีผสมกัน การฝึกฝนบ่อยๆ จะช่วยได้มากครับ อย่างที่ผมบอกไว้ในตอนต้นว่า เมื่อผ่านการฝึกฝนจนได้ที่แล้ว บางครั้งเราก็ใช้งานวิธีการเหล่านี้ออกมาโดยที่เราเองไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่า เรากำลังใช้มันอยู่ครับ
โดย สุระ นวลประดิษฐ์ www.stockphotothailand.com