ในตอนนี้เราจะมาว่ากันถึงเรื่อง การถ่ายภาพให้ดู "กว้าง" ว่าพอจะมีวิธีการอย่างไรบ้าง บางคนก็บอกว่า ถ่ายภาพมุมกว้างก็ไม่ยาก ใช้เลนส์กว้างๆ ถ่ายไปเดี๋ยวมันก็กว้างไปเอง อันนั้นก็ไม่เถียงครับ ยอมรับว่ามีส่วนถูกอยู่มาก แต่ในบางกรณีก็ไม่ทั้งหมด หลายๆ คนเจอปัญหาที่ว่า มีเลนส์มุมกว้างมากๆ แต่เวลาดูภาพที่ถ่ายมา มันรู้สึกว่ากว้างแบบ "ไม่สุด" หรือกว้างแบบไม่ได้ใจเสียที รู้สึกมันแน่นๆ อึดอัดอย่างไรไม่รู้ ในขณะที่เห็นเพื่อนบางคน มีเลนส์มุมแคบกว่าเราอีก แต่ทำไมภาพที่เขาถ่ายมามันดูแล้ว "กว้าง" หรือว่า "ให้ความรู้สึกกว้าง" ได้ดีจังเลย อย่างนี้ที่ว่า มันขึ้นอยู่กับเลนส์นั้น มันใช่เหตุผลเดียวหรือเปล่าที่ทำให้ภาพดูกว้าง หรือว่ามีอย่างอื่นอีก เคยมีบางคนถามเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เรามาคุยกันในตอนนี้ครับ
ในส่วนของอุปกรณ์ ซึ่งหมายถึงกล้องและเลนส์เป็นหลัก ที่ต้องพูดถึงอุปกรณ์เสียก่อนนั้น ก็เนื่องจาก ผู้เคยถามคำถามข้างต้นสองสามราย ใช้อุปกรณ์เป็นเลนส์ KIT ช่วงซูมมาตรฐานของค่ายกล้องหลักทั้งสองค่าย เป็นเลนส์ 18-55 มม. ซึ่งเมื่อคูณค่าในกล้องแบบตัวคูณออกมาแล้ว ค่าต่ำสุดก็อยู่ที่ช่วงต่ำกว่า 30 มม. ซึ่งถือว่ายังนับเป็นเลนส์มุมกว้างได้ โดยทั่วไปช่วงเลนส์ที่ต่ำกว่า 35 มม. ในกล้องตัวคูณ (ประมาณ 22 มม.ในกล้อง Full Frame) ถือว่าเป็นเลนส์มุมกว้าง หรือ Wide Angle และช่วงเลนส์ที่ต่ำว่า 24 มม. ในกล้องตัวคูณ (ประมาณ 15 มม. ในกล้อง Full Frame) ถือว่าเป็นเลนส์มุมกว้างพิเศษ หรือ Ultra-wide Angle ดังนั้น เนื้อหาของบทความนี้ จึงสามารถนำไปปรับใช้ได้กับเลนส์ KIT ทั่วๆ ไปที่นักถ่ายภาพมือใหม่หรือมือสมัครเล่นใช้กันอยู่ โดยจะมุ่งไปที่ประเด็นแนวคิดและวิธีการในการถ่ายภาพมุมกว้าง มากกว่าคุณภาพของอุปกรณ์ ในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมา ผมนับว่าโชคดีที่ได้ผ่านการใช้งานอุปกรณ์ที่มีความแตกต่างกันทางด้านเทคนิคสองประเภทมาชนิดที่เรียกว่ามากพอสมควร คือสามปีก่อนหน้านี้มีกล้อง Canon 450D กับเลนส์ Tamron 17-50 มม. f/2.8 เป็นอุปกรณ์คู่ชีพ ซึ่งเป็นกล้องตัวคูณกับเลนส์อิสระระดับปานกลาง และในช่วงหนึ่งปีมานี้ เปลี่ยนอุปกรณ์มาเป็น Canon 5D MK II ซึ่งเป็นกล้อง Full Frame กับเลนส์ Canon อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งรวมทั้งเลนส์ 17-40 มม. f/4 L ที่เป็นเลนส์มุมกว้างด้วย ภาพประกอบที่อยู่ในบทความนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นภาพจากอุปกรณ์ชุดเก่าที่เป็นกล้องตัวคูณกับเลนส์นอกค่าย อีกส่วนหนึ่งมากจากล้อง Full Frame กับเลนส์ค่ายดังนั้นผมจึงขอตัดประเด็น “อุปกรณ์ไม่พร้อม” ออกไปจากสารบบเสียก่อน สรุปว่า ใครที่มีเลนส์ต่ำกว่า 35 มม. ก็สามารถนำบทความนี้ไปปรับใช้ได้ทั้งสิ้นครับ
สำหรับคนที่เคยใช้เลนส์ที่มีมุมไม่กว้างมากนัก เช่น เคยใช้เลนส์มาตรฐาน 50 มม. หรือสูงกว่านี้มาก่อน พอมาใช้เลนส์มุมกว้าง ส่วนใหญ่แล้วเมื่อมองผ่านช่องมองภาพ ก็มักจะรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับความกว้างของภาพที่มองผ่านเลนส์ชนิดนี้ แต่ปัญหาก็คือ ยิ่งเลนส์กว้าง ก็ดูเหมือนมีพื้นที่หรือสิ่งต่างๆ มากมายที่จะต้องได้รับการบรรจุหรือจัดวางอย่างถูกต้องในภาพเพื่อให้ภาพออกมาดูดี สำหรับเลนส์ระยะเทเล หรือเลนส์มาโคร เรามักจะพบปัญหาที่แตกต่างออกไปในการใช้งาน โดยปกติจะมีพื้นที่และจำนวนวัตถุในเฟรมให้เราจัดการน้อยกว่าเลนส์มุมกว้าง (ผมใช้คำว่า “โดยปกติ” นะครับ หมายถึงสถานการณ์ส่วนใหญ่ที่เราถ่ายภาพกัน) นักถ่ายภาพจำนวนหนึ่งอาจจะคิดว่า เลนส์มุมกว้าง ถ่ายภาพสถานที่หรือวัตถุกว้างๆ เดี๋ยวมันก็ดูกว้างไปเอง หรือไม่ก็ถ่ายสถานที่แคบๆ ที่มีพื้นที่จำกัด ด้วยเลนส์กว้างๆ เดี๋ยวมันก็ดูกว้างไปเอง ก็ถูกส่วนหนึ่งครับ แต่ว่าไม่ทั้งหมด ถ้าไม่ได้รับการคิดวางแผนล่วงหน้าหรือจัดการพื้นที่ในภาพอย่างถูกต้อง เราก็จะได้ภาพที่ดูกว้างแบบน้ำท่วมทุ่งแต่มีผักบุ้งอยู่โหรงเหรง กว้างแบบแห้งๆ ไร้ชีวิตชีวา ไม่น่าสนใจ วิธีการทำให้ภาพมุมกว้างของเราดูน่าสนใจมากขึ้น ก็มีสิ่งละอันพันละน้อยหลายอย่างด้วยกันดังต่อไปนี้ครับ
ฉากหน้า
ถ้าจะมีอะไรที่พอจะจัดเข้าเป็น “กฎ” ได้ในบทความนี้ ก็เห็นจะเป็นเรื่อง “ฉากหน้า” นี่แหละครับ ฉากหน้ากับภาพมุมกว้างแทบจะเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้ โดยเฉพาะภาพมุมกว้างในแนวทิวทัศน์นั้นต้องท่องไว้ให้ขึ้นใจ มีภาพทิวทัศน์มุมกว้างจำนวนไม่มากที่ดูดีโดยปราศจากฉากหน้าที่เหมาะสม ถ้าเราถ่ายภาพโดยยึดหลักว่า “หาฉากหน้าให้กับภาพทิวทัศน์มุมกว้างทุกๆภาพ” ถึงจะดูเป็นกฎบังคับความคิดเราไปสักเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วเราก็มีโอกาสได้ภาพดีๆ มากกว่าการถ่ายภาพทิวทัศน์มุมกว้างแบบ “ไม่สนใจฉากหน้า” อย่างแน่นอน เลนส์มุมกว้างกับฉากหน้าเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาคู่กันอย่างแท้จริง ขนาดของพื้นที่และขนาดของวัตถุที่อยู่บริเวณใกล้กล้องของเรากับสิ่งที่อยู่ห่างออกไป จะดูแตกต่างอย่างน่าตื่นตาตื่นใจชนิดที่เราจะหาไม่ได้จากเลนส์ในช่วงมาตรฐานหรือระยะเทเล ฉากหน้าในที่นี้อาจจะไม่จำเป็นต้องดูใหญ่โตมโหฬาร แต่เป็นเพียงมุมหรือจุดที่เมื่อมองด้วยสายตาปกแล้วเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของภาพโดยรวม แต่เมื่อถ่ายด้วยเลนส์มุมกว้าง สิ่งเล็กๆ ที่เป็นฉากหน้าก็จะดูใหญ่โตเด่นชัดขึ้นมาทันที ทำให้ฉากกลาง และ/หรือฉากหลังดูมีมิติ มีความลึก ไม่ดูเหมือนลอยโดดๆ อยู่ในภาพ ลองหามุมที่มีฉากหน้า แล้วลองถ่ายภาพที่มีฉากหน้าและไม่มีฉากหน้ามาเทียบกัน แล้วจะเห็นได้ชัดว่า อะไรก็ตามแม้เพียงเล็กๆ ในฉากหน้า จะมีส่วนอย่างสำคัญทำให้ภาพที่มีวัตถุหลักหรือฉากหลังที่ใหญ่โตมโหฬาร ดูดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาทีเดียว
เส้น
ภาพมุมกว้าง ไม่จำเป็นต้องถ่ายแนวนอนเสมอไป ภาพแนวตั้งก็ดูกว้างใหญ่ได้ถ้าได้รับการจัดวางองค์ประกอบอย่างเหมาะสม เส้นสายต่าง ๆ ที่วิ่งเข้าไปหาแนวลึกจะช่วยดึงสายตาให้ไล่ไปตามพื้นที่ในภาพ และสร้างความรู้สึกลึกและกว้างใหญ่ให้กับภาพ เส้นที่จะช่วยในเรื่องนี้ จะเป็นเส้นตรงหรือเส้นโค้งก็ได้ มีเทคนิคเพียงอย่างเดียวก็คือ พยายามให้เส้นสายแนวลึกที่ปรากฏในภาพของเรา มีความยาวมากที่สุด ยิ่งสายตามองเห็นเส้นประเภทนี้ยาวติดต่อกันมากเท่าใด ก็ยิ่งให้สมองของผู้ดูภาพ แปลความหมายให้รู้สึกว่าภาพยิ่งมีความกว้างใหญ่มากขึ้นเท่านั้น
Perspective
การให้ความหมายของคำคำนี้ค่อนข้างจะต้องระมัดระวัง เพราะนักถ่ายภาพจากต่างสำนักก็ให้คำนิยามของคำนี้ไว้แตกต่างกันในรายละเอียด ผมขอให้ความหมายง่ายๆ ตามความเข้าใจของผมก็แล้วกันครับ ถ้าพูดถึง Perspective ผมแปลว่า ความลึก ของภาพ อธิบายว่าหมายถึงความรู้สึกเมื่อได้ดูภาพที่ถ่ายด้วยเลนส์ขนาดต่างๆ กัน ภาพที่มีองค์ประกอบเดียวกัน ถ่ายในสถานการณ์ที่เหมือนกันกัน ถ้าถ่ายด้วยเลนส์เทเล จะดูมีความลึกของภาพ น้อยกว่าภาพที่ถ่ายด้วยเลนส์มุมกว้าง ยิ่งมุมกว้างเท่าใด วัตถุต่างๆ ในภาพก็จะถูกลักษณะเฉพาะตัวของเลนส์บังคับให้ดูทิ้งระยะห่างกันออกไปเท่านั้น แม้ว่า Perspective จะเกิดขึ้นจากระยะของวัตถุทุกสิ่งทุกอย่างในภาพ แต่โดยทั่วไปแล้ว ในการอธิบายการเกิด Perspective เขาก็จะอธิบายกันด้วยการวาดเส้นสองเส้นขึ้นไปค่อยๆ เอนเข้าหากัน พุ่งตรงไปด้านหลัง ทำให้ดูมีความลึก (ซึ่งตามทฤษฎีแล้วมันจะไปบรรจบกันที่จุด Infinity) ซึ่งเข้าใจได้ง่ายกว่า
เลนส์มุมกว้าง จะทำหน้าที่ผลักทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างฉากหน้ากับฉากหลังออกไปให้ดูห่างจากกัน ยิ่งถ้าวัตถุในภาพมีลักษณะเป็นเส้นหรือเป็นวัตถุใดๆ เรียงกันเป็นรูปแบบที่เป็นแบบแผน ก็จะยิ่งดูมีความลึกมากขึ้น นักถ่ายภาพที่ชอบถ่ายภาพมุมกว้าง จะใช้ประโยชน์จากหลักการนี้ ถ่ายภาพให้ดูมีความลึกแบบสุดใจ ด้วยการมองหาวัตถุในภาพที่มีเส้นชัดเจนเป็นองค์ประกอบหลัก แล้วเข้าใกล้จุดเริ่มต้น หรือวางตำแหน่งของเส้นดังกล่าวไว้ใกล้กล้องที่สุด ซึ่งจะได้ภาพที่ดูกว้างและลึกกว่าปกติ
พื้นที่โดยรอบ
อาจจะไม่ใช่ทุกภาพหรือทุกสถานการณ์ที่เราจะสามารถหาฉากหน้าที่เหมาะสมมาใส่ไว้ในภาพได้ สิ่งสำคัญคือเราต้องมองหาทางเลือกอื่นๆ ไว้สำหรับทำให้ภาพของเราดูกว้างตามวัตถุประสงค์ ในยามที่ไม่มีอะไรเลยจริงๆ ขนาดของพื้นที่รอบๆ วัตถุก็สามารถนำมาให้ประโยชน์ได้ ถึงแม้พื้นที่ของท้องฟ้าและหมู่เมฆที่ลอยฟ่องอยู่ในภาพจะยึดครองพื้นที่เกือบทั้งหมดก็จริง แต่ก็เป็นได้เพียงสิ่งที่ใช้ประกอบเพื่อให้มีความรู้สึกว่าภาพมีความกว้าง แต่ภาพต้นไม้ยืนโดดเดี่ยวซุกตัวอยู่ในมุมเล็กๆ ของภาพต่างหากที่เป็นพระเอกที่แท้จริงของภาพนี้ แม้ว่าจะมีสัดส่วนของพื้นที่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
รูปทรงและรูปแบบ
วิธีง่ายๆ ในการถ่ายภาพรูปทรงหรือรูปแบบของสิ่งใดๆ ให้มีความรู้สึกกว้างใหญ่มากที่สุด ก็คือการพยายามเก็บ "ปริมาณ" ของสิ่งเหล่านั้นไว้ในภาพให้มากที่สุด ให้ความสำคัญกับขนาดของหน่วยวัตถุแต่ละหน่วยให้น้อยกว่า "จำนวน" ของวัตถุที่ปรากฏในภาพ โดยทั่วไป การปรากฏซ้ำของวัตถุที่มีรูปร่างหรือรูปทรงเดียวกันแม้จะเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ จะทำให้เกิดความรู้สึกกว้างใหญ่ได้มากกว่าการมุ่งเจาะไปยังรูปร่างหรือรูปทรงของวัตถุแต่ละส่วนหากว่ามันไม่ได้ใหญ่โตด้วยตัวของมันเอง (ยกเว้นยิ่งของที่ใหญ่โตมโหฬารด้วยตัวมันเองอยู่แล้วก็ไม่เข้ากับแนวคิดข้อนี้) หากเจอวัตถุที่มีรูปร่างหรือรูปทรงซ้ำกันมากๆ ลองมองหามุมที่สามารถรวมเอามันเข้าไว้ในภาพเดียวกันให้มากที่สุด ถอยออกมาทีละน้อยจนไม่สามารถหลีกเลี่ยงวัตถุรบกวนอื่นๆ ได้ แล้วค่อยกดชัตเตอร์
ความคมชัด
โดยปกติ ภาพบางแนวที่ถ่ายด้วยเลนส์บางช่วง เป็น ภาพบุคคลช่วงเฉพาะใบหน้า ภาพมาโครสัตว์หรือแมลง ภาพอาหาร ภาพหุ่นนิ่ง ฯลฯ ที่ถ่ายด้วยเลนส์มาตรฐานขึ้นไปจนถึงระยะเทเล หรือเลนส์มาโคร จะมีจุดสนใจที่จะตรึงสายตาของผู้ดูไว้กับภาพเพียงหนึ่งหรือสองจุดเป็นอย่างมาก เช่น เมื่อเราดูภาพบุคคลครึ่งตัว ส่วนใหญ่แล้ว ตำแหน่งคร่าวๆ ที่เราให้ความสนใจก็คือบริเวณใบหน้า ส่วนตำแหน่ง "บังคับ" ที่เรามักจะไปจบสายตาไว้เป็นที่สุดท้ายก็คือ "ดวงตา" ของตัวแบบ หรือภาพมาโครแมลง ผู้ดูภาพก็ต้องการความคมชัดเพียงบริเวณดวงตาของแมลง ภาพอาหารก็จะต้องการความคมชัดเพียงจุดใดจุดหนึ่งของภาพเท่านั้น ส่วนที่เหลือ (ซึ่งบางครั้งอาจจะเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาพ) ก็อาจจะไม่ต้องการความคมชัด หรือมีความเบลอได้โดยที่ผู้ดูภาพไม่มองว่าสำคัญอะไร หรืออาจจะเป็นความจงใจจะให้ขาดความคมชัดเสียด้วยซ้ำ ก็เป็นภาพที่สมบูรณ์ได้
แต่สำหรับภาพมุมกว้างแทบจะทั้งหมด โดยเฉพาะภาพทิวทัศน์ ด้วยขนาดพื้นที่ที่กว้างใหญ่ และปริมาณของวัตถุในภาพที่มักจะมีเป็นจำนวนมาก และธรรมชาติของการดูภาพมุมกว้างก็คือ การดูเพื่อนำองค์ประกอบต่างๆ หลายๆ ส่วนมารวมกันเสียก่อนแล้วค่อยตัดสินหรือคิดว่า ภาพนี้สวยหรือไม่สวย ดีหรือไม่ดี ชอบหรือไม่ชอบ สิ่งเหล่านี้จะรวมกันเป็นสิ่งเชื้อเชิญให้สายตาของผู้ดูภาพ "ไล่ดู" ไปตามส่วนต่างๆ ของภาพอย่างพินิจพิเคราะห์ ความคาดหวังตามธรรมชาติของผู้ดูภาพมุมกว้าง โดยเฉพาะภาพทิวทัศน์ มักจะเป็น "ความคมชัด" ที่มีทั่วทุกจุดในภาพ ภาพที่มีจุดขาดความคมชัดหลายๆ จุด มักจะเป็นภาพมุมกว้างที่ดูลักลั่นในความรู้สึกของผู้ดูภาพ โดยเฉพาะภาพที่ส่วนใกล้สุดกับไกลสุดในภาพ ไม่ได้มีฐานะเป็น "ฉากหน้า" และ "ฉากหลัง" ของกันและกัน
ภาพตัวอย่างที่อธิบายข้อนี้ได้ดีที่สุดคือ ภาพสะพานถ่ายในช่วงเวลา Twilight ตัวสะพานที่อยู่ใกล้กล้อง กับเสาสะพานที่อยู่ไกลๆ ไม่ได้มีหน้าที่เป็น "ฉากหน้า" และ "ฉากหลัง" ของกันและกัน แต่เป็นวัตถุ "ชิ้นเดียวกัน" ที่ตามหลักการแล้วจะต้องมีความคมชัดในระดับเดียวกัน ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งมีความเบลอมากน้อยกว่ากัน ภาพจะขาดความสมบูรณ์ทันที (อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของผมผู้ถ่ายภาพนี้) ดังนั้น ความคมชัดที่ทั่วถึงกันทุกจุดในภาพ จะเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ภาพนี้มีความสมบูรณ์
สำหรับภาพเรือที่มีฉากหลังเป็นเกาะเล็กๆ ก็เป็นอีกภาพหนึ่งที่เป็นตัวอย่างภาพซึ่งผมมีความเชื่อเป็นการส่วนตัวว่า ภาพลักษณะนี้ จะต้องถ่ายให้มีความคมชัดทั้งหมดนับจากตัวเรือถึงเกาะที่เห็นอยู่ลิบๆ ถ้าคิดในฐานะผู้ดูภาพ ตัวผมเองไม่คิดว่า ภาพลักษณะนี้ ตัวเรือมีความคมชัด แต่เกาะและเมฆด้านหลังมีความเบลอขาดความคมชัด จะเป็นภาพที่น่าสนใจไปกว่าการที่ทุกๆ องค์ประกอบในภาพมีความคมชัดในระดับเดียวกัน ดังนั้น ผมจึงเลือกเทคนิคในการถ่ายให้คมชัดทุกระยะมาใช้กับภาพนี้
ทีนี้จะทำอย่างไรให้ภาพมีความคมชัดทั่วถึงกันทุกจุดในภาพ ก็เป็นเรื่องของเทคนิคการถ่ายภาพขั้นพื้นฐานที่เชื่อว่า นักถ่ายภาพระดับก้าวหน้าทั่วไปจะต้องเคยผ่านตามาบ้าง ซึ่งจะไม่ขอนำมาอธิบายไว้ในบทความนี้ สำหรับนักถ่ายภาพที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องนี้ นอกจากความรู้เรื่องเลนส์แต่ละชนิดกับค่ารูรับแสงแล้ว ก็ลองใช้ Google ค้นหาคำว่า Hyperfocal ดูครับ คำนี้ บางสำนักก็เรียกว่า Hyper Focus ก็มีครับ ต่างกันหรือไม่อย่างไร ก็ลองไปศึกษาเพิ่มเติมได้ ถ้าทำความเข้าใจดีๆ แล้วจะช่วยเรื่องความคมชัดของภาพได้มากทีเดียว
ความเรียบง่าย
จากที่กล่าวมาแล้วว่า ภาพที่ถ่ายด้วยเลนส์มุมกว้าง สำหรับคนที่ยังไม่คุ้นกับเลนส์ประเภทนี้ การจัดองค์ประกอบให้วัตถุจำนวนหลายๆ อย่าง หลายๆ ขนาด หรือหลายๆ Layers ไว้ในภาพเดียวกันบางทีก็ไม่ใช่เรื่องง่าย มือใหม่หัดถ่ายกว้างจึงมักจะพบปัญหาภาพมีองค์ประกอบสะเปะสะปะ องค์ประกอบหลวมโพรก ให้พื้นที่กับวัตถุไม่ได้สัดส่วนที่เหมาะสมกับพื้นที่รวมของภาพ หรือไม่ก็มีวัตถุอยู่ในภาพเยอะแยะเกินไปจนกลายเป็นรกตา มีองค์ประกอบไม่สอดรับกันอย่างพอดี ตามความเห็นส่วนตัว การถ่ายภาพมุมกว้างต้องอาศัยความชำนาญและการฝึกฝนมากกว่าภาพที่ถ่ายด้วยเลนระยะเทเล ผมหมายถึงว่า ถ้าสมมติมีนักถ่ายภาพคนหนึ่งมีเลนส์ 50 มม. อยู่ตัวเดียว และถ่ายภาพด้วยเลนส์นี้จนมีความเคยชิน ต่อมาได้เลนส์ 24 มม. มา 1 ตัว และได้เลนส์ 105 มม. มาอีก 1 ตัวพร้อมๆ กัน และใช้งานทั้งสองตัวมากพอๆ กัน ผมค่อนข้างมั่นใจว่า โดยทั่วไป นักถ่ายภาพคนนั้นจะคุ้นเคยกับเลนส์เทเลตัวใหม่ได้ง่ายกว่าเลนส์มุมกว้าง และมีโอกาสได้ภาพที่พอใจจากเลนส์เทเลมากกว่าเลนส์มุมกว้างในระยะแรกๆ ของการใช้งาน มีแนวคิดที่อยากฝากไว้ก็คือว่า เลนส์มุมกว้างไม่จำเป็นต้องถ่ายเฉพาะสิ่งที่ดูกว้างใหญ่เช่นทิวทัศน์ หรือที่แคบๆ เพื่อเก็บรายละเอียดของพื้นที่ให้ได้มากๆ เช่น ในอาคารหรือห้องเท่านั้น ซึ่งทั้งสองประเภทที่กล่าวมา ไม่ว่าที่จะกว้างหรือแคบ สุดท้ายก็มีจำนวนวัตถุให้จัดองค์ประกอบจำนวนมากอยู่ดี ลองใช้เลนส์มุมกว้างที่สุดเท่าที่คุณมือ ถ่ายภาพที่มีวัตถุเป็นองค์ประกอบเพียงสองสามอย่าง หรือไม่ก็อย่างเดียวโดดๆ ไปเลยดูบ้าง ลองดูว่าถ่ายอย่างไรจึงจะได้ภาพที่มีอยู่ประกอบลงตัว ไม่แน่นมากไป หรือหลวมเกินไป มีความพอดีโดยไม่ต้องตัดส่วนหรือ Crop ภาพส่วนใดส่วนหนึ่งออกไป ฝึกถ่ายภาพแบบนี้บ่อยๆ จะทำให้เราเข้าใจและใช้งานเลนส์มุมกว้างได้อย่างมีประสิทธิภาพเร็วขึ้น
รวมทุกสิ่งไว้ให้ครบ
ข้อนี้เป็นการถ่ายภาพโดยใช้ลักษณะเด่นของเลนส์มุมกว้างให้เป็นประโยชน์ และถือเป็นการใช้งานตามจุดประสงค์หลักอย่างหนึ่งของเลนส์ประเภทนี้ เมื่อมองผ่านช่องมองภาพ การกวาดสายตาไปทั่วๆ พื้นที่ในภาพอย่างละเอียดเป็นสิ่งที่จำเป็นมากกว่าการถ่ายภาพแนวอื่นๆ ยิ่งพื้นที่เป้าหมายมีความกว้างและเต็มไปด้วยวัตถุหรือองค์ประกอบปลีกย่อยมากเท่าใด ก็ยิ่งต้องระมัดระวังมากเท่านั้น ภาพทิวทัศน์ที่น่าจะเป็นภาพประทับใจ อาจจะกลายเป็นภาพธรรมดาๆ เพราะการขาดไปของต้นไม้เล็กๆ เพียงต้นเดียวที่มุมภาพด้านใดด้านหนึ่ง ภาพเมืองใหญ่อาจจะสูญเสียความหมายที่สมบูรณ์ไปเพราะขาดตึกขนาดเล็กๆ ที่ควรจะอยู่ในพื้นที่ที่เหมาะสม การรวมองค์ประกอบจำนวนมากให้ดูลงตัวพอดีเป็นทักษะที่ต้องผ่านการฝึกฝนมากในระดับหนึ่ง ภาพมุมกว้างประเภทนี้ ร้อยทั้งร้อยเราไม่สามารถไปยุ่มย่ามอะไรกับการจัดวางตำแหน่งของวัตถุในภาพได้เหมือนการถ่ายภาพของชิ้นเล็กๆ หรือวัตถุที่จัดฉากถ่ายเองกับมือ มันเป็นอยู่อย่างไรก็เป็นอยู่อย่างนั้น สิ่งที่จะทำให้องค์ประกอบภาพเปลี่ยนแปลงไปในทางดีขึ้นหรือแย่ลง ก็คงมีแต่ทักษะในการตัดสินใจเลือกวางตำแหน่งองค์ประกอบภาพของเราเท่านั้น นักถ่ายภาพมุมกว้างที่มีประสบการณ์จะรู้ดีว่า ในเมืองไม่สามารถย้ายตำแหน่งของวัตถุที่เราจะถ่ายได้ การย้ายตำแหน่งของตัวเราไปอยู่ในจุดที่เหมาะสมเท่านั้นที่จะทำให้เราได้ภาพดีๆ ตามที่เราต้องการ
เข้าไปใกล้
สองข้อสุดท้ายนี้ถือเป็นเคล็ดลับสำหรับการถ่ายภาพมุมกว้างให้ดูกว้างใหญ่น่าสนใจ การใช้เลนส์มุมกว้างที่สุดเท่าที่มี แล้วเดินเข้าไปให้ใกล้วัตถุหรือใกล้ฉากหน้าของวัตถุที่ต้องการถ่ายมากที่สุด มักจะเป็นวิธีที่จะได้ภาพมุมกว้างที่ดูน่าสนใจ ปัญหาของนักถ่ายภาพที่ไม่คุ้นกับเลนส์มุมกว้างก็คือ เคยชินกับการถ่ายภาพจากระยะที่ไกลเกินไป ซึ่งผลที่ได้จะดูธรรมดามากเมื่อเทียบกับความกว้างของเลนส์ที่มี ดังนั้น สิ่งที่ควรทำทุกครั้งเมื่อถ่ายภาพมุมกว้าง ก็คือ ถ้าสามารถเข้าไปใกล้ๆ ได้ ก็จงเข้าไปใกล้ๆ สิ่งที่คุณจะถ่ายเสียก่อน อย่าถ่ายจากระยะไกล มิติของภาพที่ถ่ายจากระยะใกล้ จะให้ความรู้สึกในการมองภาพแตกต่างออกไปอย่างชัดเจน
เข้าไปใกล้อีก
เคล็ดลับข้อนี้ต่อเนื่องจากข้อที่แล้ว ซึ่งในว่าด้วยปัญหาของนักถ่ายภาพที่ไม่เคยชินกับเลนส์มุมกว้าง คือเขาไม่เข้าไปใกล้วัตถุที่จะถ่าย และเมื่อเขาได้เรียนรู้และเริ่มต้นที่จะเข้าไปใกล้มากขึ้นแล้ว ปัญหาที่ตามมาคือพวกเขายังเข้าใกล้ไม่มากพอ เคล็ดลับข้อนี้รับประกันว่าผมไม่ได้ล้อเล่นแต่ประการใด บ่อยครั้งที่เรารู้สึกว่าได้เข้าใกล้มากพอแล้วในการถ่ายภาพมุมกว้าง แต่ในความเป็นจริง เรายังสามารถเข้าใกล้ได้อีก ระยะโฟกัสใกล้สุดของเลนส์มุมกว้างหลายๆ รุ่นอยู่ที่ไม่ถึงฟุตด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นการถ่ายที่ระยะห่างเป็นเมตรสองเมตร ย่อมเป็นการพลาดโอกาสที่จะได้มุมมองที่ดูตื่นตาตื่นใจไปไม่น้อยเลย โดยเฉพาะกับการถ่ายภาพที่มีฉากหน้าและภาพที่มีเส้นซึ่งมองเห็น Perspective อย่างชัดเจน การเข้าใกล้อีกจะเป็นผลชัดเจนเป็นพิเศษ ลองดูครับ คราวต่อไปที่ถ่ายภาพมุมกว้าง เข้าใกล้ฉากหน้า หรือส่วนที่ใกล้ที่สุดของวัตถุที่เราจะถ่ายให้ใกล้ที่สุดเท่าที่เลนส์ของเราจะทำได้ แล้วจะเห็นอะไรๆ ที่เราไม่เคยคิดว่าจะเห็นมาก่อนอย่างแน่นอน