นักถ่ายภาพที่ชอบการถ่ายภาพแนวธรรมชาติและท่องเที่ยวโดยทั่วไป คงจะรู้และเข้าใจตลอดถึงทำใจยอมรับได้ว่า ไม่ใช่ทุกครั้งไม่ใช่ทุกทริปไม่ใช่ทุกสถานที่ ที่เราจะมีโอกาสได้ภาพสวยถูกใจหรือตรงตามความต้องการ หรือว่าดูดีเหมือนกับภาพที่เคยเห็นคนอื่นๆ เขาถ่ายกันตั้งแต่ขั้นตอนการถ่ายภาพณสถานที่จริง มีปัจจัยมากมายเข้ามาเกี่ยวข้องในการที่จะได้ภาพสวยหรือไม่สวยสำหรับการออกไปถ่ายภาพแต่ละครั้ง เช่นสภาพอากาศโดยรวมอาจจะแย่มาก ไม่เอื้ออำนวยให้ถ่ายภาพในรูปแบบที่ต้องการได้
หรือแม้แต่ในวันที่สภาพอากาศโดยทั่วไปค่อนข้างเหมาะสม แต่เราไปยังสถานทีที่ไม่คุ้นเคย อาจจะไม่รู้ว่าจุดถ่ายภาพที่สวยๆ นั้นอยู่บริเวณใดบ้าง และเวลาใดเป็นเวลาที่เหมาะสม บางครั้งองค์ประกอบต่างๆ เอื้ออำนวยทุกอย่าง แต่ความผิดพลาดมีเพียงการที่เราไปยืน ณ จุดนั้นในเวลาเช้า โดยที่ทิศทางแสงของจุดนั้น เหมาะสำหรับถ่ายภาพในเวลาบ่าย เป็นต้น
ก่อน
หลัง
ภาพที่ถ่ายจากสถานที่ใกล้เคียงกันซึ่งเกิดจากปัญหาการที่เราไม่คุ้นเคยกับสถานที่
เพียงแต่ไปอยู่ณจุดที่องศาของแสงไม่เหมาะสมเพียงเล็กน้อยภาพก็ดูไม่สมบูรณ์
และต้องการการปรับแต่งเพิ่มเติม ภาพชุดนี้ใช้ขั้นตอนการปรับแต่งแนวเดียวกับภาพที่นำมาแสดงการปรับแต่งเป็นตัวอย่าง
ด้านล่างต่อไปในบทความนี้
บางครั้งการไปถึงสถานที่ที่เราจะถ่ายภาพ ก็เป็นเรื่องของการลงทุนลงแรงไปมากมาย ยังไม่รวมถึงเวลาที่เสียไป และบางครั้งบางสถานที่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีโอกาสไปเยือนหรือไปแก้มือได้ง่ายนัก แต่อย่างไรก็ตามในยุคดิจิตอล แม้ว่าโชคจะไม่เป็นใจมากนัก ณ จุดถ่ายภาพ แต่เราก็ยังมีการปรับแต่งภาพภายหลังการถ่ายหรือ Post-processing มาเป็นตัวช่วย ให้เรายังพอมีโอกาสที่จะได้ภาพที่พอใช้งานได้ในระดับหนึ่ง แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกับในวันที่ทุกๆ อย่างเป็นใจ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ดังนั้นการพยายามถ่ายภาพให้ดีที่สุดเท่าที่สถานการณ์จะเอื้ออำนวยได้ในขณะนั้น แล้วนำมาแก้ไขปรับปรุงทีหลังก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ
บทความตอนนี้จะเรียกได้ว่า เป็นตอนต่อเนื่องจากตอนที่แล้วเรื่อง "Post-processing นั้นสำคัญฉะนี้" ก็ว่าได้ ในตอนที่แล้ว ผมได้พูดถึงแนวคิดกว้างๆเกี่ยวกับการปรับปรุงภาพหลังจากการถ่ายมาเบื้องต้น เพื่อให้นักถ่ายภาพที่ไม่ได้ต่อต้านการปรับปรุงภาพด้วยคอมพิวเตอร์ ได้เข้าใจแนวคิดหลักๆ ก่อนแต่ไม่ได้ลงลึกถึงรายละเอียด หรือมีตัวอย่างการปรับแต่งภาพให้ดูในตอนดังกล่าวนั้น ตอนนี้จึงจะขอยกตัวอย่างขั้นตอนการปรับปรุงภาพที่ถ่ายมาจากสถานการณ์หน้างานที่ไม่เป็นใจมากนัก ให้เป็นภาพที่อยู่ในระดับ "ใช้งานได้" หรือ "พอไปวัดไปวาได้" โดยการปรับปรุงภาพที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ ผมยึดเอาการปรับปรุงเพื่อเป็นภาพที่ใช้งานในรูปแบบ Stock Photography เป็นเป้าหมายหลัก ซึ่งจะต้องปรับปรุงโดยยังคงคุณภาพของเนื้อไฟล์ที่เหมาะสมสำหรับการนำไปใช้งานของลูกค้าอีกต่อหนึ่ง ไม่ใช่การปรับปรุงเพื่อใช้งานขั้นสุดท้ายเพื่อผลิตชิ้นงานสำเร็จรูป ซึ่งถ้าเป็นกรณีนี้ก็จะมีแนวในการปรับปรุงอีกรูปแบบหนึ่ง ที่จะต้องใส่กันหนักมือกว่านี้ พูดง่ายๆ คือลูกค้าที่นำไฟล์นี้ไปใช้ยังคงสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมได้ตามต้องการ โดยยังไม่สูญเสียคุณภาพจนเกินมาตรฐานของภาพ Stock Photography
ก่อน
หลัง
ภาพในชุดเดียวกันที่ใช้ขั้นตอนการปรับแต่งแนวเดียวกับตัวอย่างการปรับที่แสดงไว้ด้านล่างบทความนี้
จริงๆ แล้วภาพที่ต้องมีการปรับปรุงหลังจากการถ่ายนั้น มีอยู่มากมาย แต่ที่เลือกภาพนี้มาเป็นตัวอย่าง เนื่องจากเหตุผลหลักๆ คือเป็นภาพที่ไปถ่ายมาจากสถานที่ไม่ใช่ว่าจะไปกันได้บ่อยๆ (เกาะหมากจ.ตราด) ดังนั้นสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ก็ต้องพยายามถ่ายภาพให้ได้มาในระดับหนึ่งก่อน ที่เหลือค่อยว่ากันทีหลัง และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ การปรับปรุงภาพนี้แม้จะดูเผินๆ ไม่มีอะไรมากแต่จริงๆ แล้วก็ใช้คำสั่งและขั้นตอนมากพอสมควร ซึ่งแนวคิดต่างๆ ในการปรับปรุงภาพนี้ สามารถนำไปใช้ในการปรับปรุงภาพในลักษณะอื่นๆได้อีกด้วย
ก่อนอื่นมาดูภาพ Before and After กันก่อนครับ
ภาพจากไฟล์ RAW ต้นฉบับจากกล้อง ปราศจากการปรับแต่งใดๆ
ผ่านการปรับแต่งแล้ว
จริงๆ แล้วภาพนี้ถ่ายในช่วงสายๆ ของวันที่แดดดีฟ้าสวยพอสมควร การถ่ายภาพลักษณะนี้มุมแสงที่น่าจะดีที่สุด ก็คือมุมที่ดวงอาทิตย์อยู่ด้านหลังของเราพอดี ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะได้ฟ้าที่มีสีฟ้าสม่ำเสมอ และที่สำคัญเป็นฟ้าเข้มสวยที่เหมาะกับภาพทะเลทั่วไป แต่จังหวะไม่ดีที่ผมไปยืน ณ จุดนี้ในเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ทางด้านซ้ายมือ (การถ่ายภาพทะเลไม่เหมือนถ่ายภาพป่าหรือภูเขานะครับ เจอมุมแสงไม่สวย ยังหมุนตัวไปถ่ายมุมอื่นๆ ได้บ้างแต่ที่ทะเลหมดสิทธิ์ครับ หันไปทางอื่นๆ ก็แทบไม่มีองค์ประกอบหลักให้ถ่ายทันที) แสงที่เข้ามาจึงเป็นแสงที่แน่นอนว่า ทางด้านซ้ายมือต้องสว่างกว่าทางด้านขวามือ เป็นจุดบกพร่องจุดแรกของภาพนี้ที่มองเห็นตั้งแต่ยังไม่ถ่าย อีกอย่างหนึ่งก็คือแสงบริเวณลูกมะพร้าว จะน้อยกว่าบริเวณท้องฟ้าและก้อนเมฆด้านหลังอยู่หลายสต็อป ถ้าเผลอไปถ่ายโดยเน้นท้องฟ้าให้พอดีมาก ไปส่วนนี้ก็จะมืดมากไป ถ้าเน้นเฉพาะส่วนนี้ไม่ระวังฉากหลัง เมฆก็จะขาดรายละเอียดทันที ดังนั้นถ้าไม่เลือกถ่ายแบบคร่อมค่าแสงเพื่อเอาไปทำ HDR (ซึ่งน่าจะไม่ค่อยเข้ากับภาพแนวนี้เท่าไหร่) ก็ต้องถ่ายแบบกั๊กๆ เอาไว้ทั้งสองอย่าง เพื่อจะได้ปรับปรุงภายหลังได้ง่าย กรณีนี้ Histrogram หรือกราฟแสดงค่าแสงที่จอกล้องช่วยได้มาก รวมทั้งกล้องที่มีระบบเตือนไฮไลท์ก็ควรจะเปิดระบบนี้เอาไว้ เมื่อถ่ายภาพลักษณะนี้มันจะคอยช่วยเตือนอีกแรงหนึ่ง ว่ามีส่วนที่สว่างเกินไปจนขาดรายละเอียดในภาพแล้วหรือยัง
เมื่อไม่มีทางเลือกและตัดสินใจถ่ายมาโดยตั้งใจว่าจะเอาไปปรับปรุงเพิ่มเติม จะเห็นได้ว่าภาพต้นฉบับ (ถ่ายด้วยไฟล์ RAW) จะมีเรื่องหลักๆที่ต้องการการปรับปรุงเช่น
- แสงที่สว่างไม่เท่ากันด้านซ้ายสว่างกว่าด้านขวา
- ค่าแสงบริเวณลูกมะพร้าวมืดเกินไปเนื่องจากการคุมค่าแสงไม่ได้ก้อนเมฆสีขาวขาดรายละเอียด
- ขอบภาพมืดพอสมควรเนื่องจากใช้เลนส์มุมกว้าง 17 มม.
- เส้นขอบฟ้าดูโค้งเล็กน้อยเนื่องจากใช้เลนส์มุมกว้าง 17 มม.
- สีของหาดทรายจะออกโทนส้มๆซึ่งดูไม่สวยและไม่ค่อยเป็นที่นิยมกันในการถ่ายภาพหาดทราย
ในการปรับปรุงภาพตามปกติผมจะใช้โปรแกรม Lightroom ทำงานร่วมกับโปรแกรม Photoshop (แต่ใครที่ใช้ Photoshop อย่างเดียวก็สามารถทำขั้นตอนของ Lightroom ใน Photoshop แทนได้โดยใช้ Camera Raw แทนได้ครับ) โดยหลังจากที่ Import ภาพเข้าสู่โปรแกรม Lightroom แล้วจะมีการปรับแต่งภาพด้วยคำสั่งต่อไปนี้ (ผมจะอธิบายเหตุผลว่าเพราะอะไรจึงต้องใช้คำสั่งนี้ประกอบไปด้วยเพื่อให้จะได้รู้ที่มาของการใช้คำสั่งแต่ละคำสั่งครับ (แถบคำสั่งทั้งหมดที่จะใช้อยู่ทางด้านขวามือของจอโปรแกรม Lightroom นะครับจะเรียงกันเป็นแนวตั้งลงมาหาไม่ยากครับ)
แถบเครื่องมือสำหรับการปรับแต่งภาพใน Lightroom
Crop Overlay จะเป็นรูปตารางสี่เหลี่ยมอยู่บนสุดของชุดแถบเครื่องมือ ใช้เพราะว่าเส้นขอบฟ้าของภาพจะมีความเอียงอยู่นิดๆ เราสามารถตัดส่วนภาพให้มีความสมดุล และปรับความเอียงของเส้นขอบฟ้าได้ด้วยคำสั่งนี้
Camera Profile เลือกใช้ Landscape เพราะภาพนี้ถ่ายมาด้วยไฟล์ RAW ซึ่งยังไม่มีการแต่งสีสันใดๆจากกล้องภาพเบื้องต้นจึงดูทึมๆจืดๆเล็กน้อย Camera Profile แบบ Landscape จะทำให้สีฟ้าของท้องฟ้ากับสีเขียวของใบไม้ดูสดใสขึ้นเป็นพิเศษ คำสั่งนี้ให้ผลคล้ายๆกับการเลือก Picture Style หรือ Picture Control เมื่อถ่ายด้วยไฟล์ JPG แต่การถ่ายด้วยไฟล์ RAW เราสามารถเปลี่ยนค่าพวกนี้ได้ตามใจชอบโดยไม่กระทบถึงคุณภาพของไฟล์
Lens Corrections ใต้คำสั่งนี้ให้ติ๊กเครื่องหมายถูกที่ Enable Profile Corrections ปกติแล้วถ้าใช้เลนส์ของยี่ห้อผู้ผลิตกล้องหรือเลนส์อิสระบางรุ่น โปรแกรมก็จะรู้อัตโนมัติว่าเราใช้เลนส์อะไร ก็จะมีการปรับแก้ความผิดเพี้ยนต่างๆของเลนส์รุ่นนั้นๆ ให้โดยอัตโนมัติ ตามที่โปรแกรมได้ตั้งค่าไว้แล้ว ซึ่งเลนส์แต่ละตัวจะมีข้อบกพร่องไม่เหมือนกัน เช่นภาพนี้ใช้เลนส์ Canon EF 17-40 f/4 L ที่ระยะ 17 มม. ซึ่งกว้างมากและมีอาการขอบฟ้าโค้งลงแบบตกท้องช้าง กับอาการขอบภาพมืดอย่างชัดเจน เป็นเอกลักษณ์ทางกายภาพของเลนส์ตัวนี้ที่ระยะนี้อยู่แล้ว ใช้คำสั่งนี้แล้วเส้นขอบฟ้าจะตรง และอาการขอบภาพมืดก็จะหายไป อย่างง่ายๆ สำหรับใครที่ใช้เลนส์รุ่นที่ไม่อยู่ในรายการ Profile ของโปรแกรม ก็สามารถเลือกยี่ห้อเลนส์ และลองเลือกเลนส์ที่มีค่าทางยาวโฟกัสใกล้เคียงกันดูครับ ว่าให้ผลน่าพอใจหรือไม่
จะเห็นได้ว่าภาพบางภาพอาจจะมีรายการการแก้ไขกันมากมายหลายขั้นตอนจึงจะได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
WB หรือ White Balance ลองเลือก WB แบบที่เราคิดว่าให้ผลดีที่สุด ข้อเด่นอย่างหนึ่งของไฟล์ RAW ก็คือ เราสามารถลองเปลี่ยนค่า WB ได้ตามความต้องการโดยไม่กระทบกับคุณภาพไฟล์ บางครั้ง WB ที่ไม่ตรงกับสภาพแสงจริง ก็ให้ภาพที่ดูแล้วสวยงามกว่าก็เป็นได้ ในที่นี้ผมเลือก Daylight เพราะดูแล้วให้ภาพที่ถูกใจที่สุด
Fill Light เป็นการเติมแสงเข้าไปในส่วนมืดของภาพ เป้าหมายหลักของการเติมแสงในภาพนี้อยู่ที่บริเวณลูกมะพร้าว ซึ่งมืดมากจนเกือบจะขาดรายละเอียด ค่อยๆ เติมแสงเพิ่มขึ้นแต่ต้องระวังเติมให้พอดีๆ อย่ามากเกินไป เพราะว่าถ้าเติมมากจะยิ่งมีโอกาสเกิด Noise บริเวณดังกล่าวมากเช่นกัน และที่สำคัญโปรแกรมจะไม่รู้ว่าเราต้องการเติมแสงเฉพาะตรงไหน ดังนั้นพื้นที่ไหนที่เข้าข่ายมืดหรือแสงเข้ม มันก็จะเติมให้ทั้งหมด ในภาพนี้ทางมุมขวาบนของภาพท้องฟ้า มีสีเข้ม โปรแกรมก็จะคิด (เอาเอง) ว่าต้องเติมแสงเข้าไปด้วยเช่นกัน ทำให้สีฟ้าก็จะค่อยๆ จางลงเช่นกันในขั้นตอนนี้จะ Fill Light แต่พอประมาณพองาม เดี๋ยวจะเข้าไปจัดการต่อใน Photoshop
Vibrance เป็นคำสั่งสำหรับปรับสีสันที่ยังอ่อนอยู่ในภาพ ให้ดูเข้มขึ้นแต่จะไม่กระทบกับสีใดที่เข้มอยู่แล้ว คำสั่งนี้ใช้ตามความเหมาะสม มากน้อยตามความพอใจ.
HSL เป็นคำสั่งที่ใช้จัดการกับสีต่างๆ ในภาพสำหรับภาพนี้ หาดทรายดูไม่ค่อยสวย ผมอยากได้สีของทรายบนหาดที่ดูสว่างหรือขาวกว่านี้ จึงใช้เครื่องมือที่เป็นจุดเล็กๆ อยู่หน้าคำว่า Hue Saturation และ Luminance ไปลองลากบนหาดทรายดูปรากฏว่า โปรแกรมแจ้งว่าหาดทรายเป็นสีส้ม ก็จัดการลากแถบ Hue และ Saturation มาทางด้านซ้ายให้เป็นลบและเพิ่มค่า Luminance ของสีส้มให้เป็นบวกไปเล็กน้อย รวมแล้วทำให้สีของหาดทรายสว่างและดูขาวขึ้นกว่าเดิม โดยไม่ไปกระทบกับสีอื่นๆในภาพ
ในตอนนี้ก็จะได้ภาพที่ดูแตกต่างจากภาพต้นฉบับอยู่มากพอสมควรแล้ว แต่ขั้นตอนยังไม่หมดเพราะยังมีจุดที่ต้องปรับปรุงเพิ่มอีกเล็กน้อยใน Photoshop ถ้าในเครื่องติดตั้งโปรแกรม Photoshop ไว้แล้วการส่งภาพจาก Lightroom เข้าสู่ Photoshop ทำได้โดยการคลิกขวาบนภาพแล้วเลือก Edit in ตามด้วย Edit in Photoshop โปรแกรม Photoshop ก็จะถูกเรียกขึ้นมาโดยอัตโนมัติพร้อมกับภาพที่เราต้องการแก้ไข
ส่วนที่ต้องการแก้ไขอย่างแรกก็คือ ด้านขวามือของภาพสีของท้องฟ้า จะเข้มดูแตกต่างมากจากด้านซ้ายมือสุดซึ่งแสงเข้ามาทางด้านนี้ ดูไม่สวย วิธีการแก้ไขมีอยู่หลายวิธีแต่ผมเลือกใช้เครื่องมือ Dodge Tool หรือเครื่องมือเพิ่มความสว่างเฉพาะจุดที่ต้องการ เรียกเครื่องมือนี้ขึ้นมาจากแถบเครื่องมือด้านซ้ายของจอแล้วปรับค่า Exposure ด้านบนตามความเหมาะสมกับลักษณะภาพอย่างภาพนี้ผมเลือกที่ 25% เพื่อทำให้สว่างขึ้นนิดหน่อยเลือกแบบขอบนุ่มสุดจากนั้นก็ใช้ปุ่ม [ หรือ ] บนคีย์บอร์ดทำการปรับลดหรือเพิ่มขนาดหัวแปรงให้เหมาะสมแล้วนำไประบายบนจุดที่เราต้องการให้สว่างขึ้น ถ้าไม่ได้ค่าความสว่างตามที่ต้องการก็ทำการเพิ่มหรือลดค่า Exposure ได้ใหม่ตามต้องการ ปรับจนได้สีความสว่างที่ดูสมดุลกันที่สุด
หมายเลข 1 คือตำแหน่งของเครื่องมือ Dodge และ Burn
ตำแหน่งหมายเลข 2 คือตำแหน่งของช่องเลือกค่า Exposure
และหมายเลข 3 คือตำแหน่งที่ใช้เลือกความนุ่มของหัวแปรงคลิกที่สามเหลี่ยมเล็กๆ ขึ้นมา
แล้วเลือกค่า Hardness ให้เท่ากับ 0 ก็จะได้หัวแปรงขอบนุ่มที่สุด
- ใช้คำสั่งตามข้อที่แล้วไประบายเฉพาะบนหาดทราย โดยปรับหัวแปรงให้เท่ากับพื้นที่หาดทรายพอดี แล้วปรับค่า Exposure ที่เหมาะสม ทำให้ชายหาดดูสว่างใสขึ้นตามต้องการ
- คราวนี้ไปจัดการส่วนที่เป็นจุดมืดบนต้นมะพร้าวอีกครั้ง ใช้เครื่องมือเดิมปรับค่า Exposure ที่ต้องการระบายไปตรงจุดศูนย์กลางของใบมะพร้าว ให้ได้ค่าความสว่างที่พอดี มองเห็นรายละเอียดตามความเหมาะสม
- ทำให้ด้านขวาสว่างขึ้นในระดับหนึ่งแล้ว ความจริงเราจะทำให้สว่างแค่ไหนก็ได้โดยการปรับ Exposure แต่ในทางปฏิบัติแล้วถ้าปรับความสว่างทางนี้ฝั่งเดียวมากไป อาจจะกระทบถึงคุณภาพของภาพเฉพาะบริเวณนี้ได้ จึงต้องใช้วิธีการหันไปปรับฝั่งตรงข้ามที่สว่างมากให้มืดลงเพื่อให้มาพบกันครึ่งทาง โดยการเรียกใช้เครื่องมือ Burn Tool ที่อยู่ติดๆกับ Dodge Tool แล้วใช้วิธีการปรับ Exposure เหมือนกัน แต่คราวนี้เมื่อระบายลงไปบนพื้นที่ใด พื้นที่นั้นก็จะมืดหรือเข้มขึ้น ในการปรับภาพการใช้งาน Dodge และ Burn นี้สามารถใช้กำหนดพื้นที่มืดและสว่างของภาพได้ตามความต้องการ มีความยืดหยุ่นสูงและกระทบกับคุณภาพไฟล์ไม่มากนัก กระซิบให้นิดหนึ่งว่าเครื่องมือทั้งสองอย่างนี้เป็นอาวุธเด็ดของช่างภาพจำนวนมาก โดยเฉพาะที่ชอบถ่ายภาพแบบเล่นแสงและเงาภาพบางภาพที่เราเห็นแสงเงาเทพๆ นั้น บางครั้งก็ไม่ได้มาจากการถ่ายภาพทั้งหมดในขั้นตอนเดียวแต่เป็นการใช้การ Dodge และ Burn ไปเสริมอย่างถูกต้องเหมาะสม (แต่ส่วนใหญ่จะได้ผลดีเฉพาะกับภาพที่ถ่ายมาอย่างถูกต้องตั้งแต่แรกหรือว่าถ่ายมาโดยวางแผนล่วงหน้าและเห็นภาพล่วงหน้าแล้วว่า จะนำมาปรับปรุงแบบนั้นแบบนี้ไม่ใช่ภาพที่ถ่ายแบบ Snapshot ทั่วๆ ไป ซึ่งมักจะปรับปรุงได้ยากกว่าเยอะเลยครับ)
- จากนั้นก็จะเป็นการปรับปรุงภาพเพิ่มเติมเล็กๆน้อยๆ ทั่วไปเช่นการใช้เครื่องมือ Patch Tool เอาภาพศีรษะของคนที่กำลังเล่นน้ำอยู่ใกล้ๆต้นมะพร้าวออกไป ใช้เครื่องมือ Spot Healing Brush ไปคลิกบนจุดรบกวนหรือสิ่งสกปรกบนหาดทรายออกไปเสียบ้างให้ดูสะอาดตาขึ้นเป็นต้น เป็นอันจบกระบวนการสามารถบันทึกภาพเป็นไฟล์ JPG เพื่อนำไปใช้งานทั่วไปได้ทันที
จะเห็นได้ว่าการปรับปรุงคุณภาพของภาพภาพหนึ่งนั้น บางครั้งก็ต้องใช้เครื่องมือหรือคำสั่งต่างๆ มากมายหลายอย่างอย่างละนิดละหน่อย ทำงานร่วมกัน การปรับค่าต่างๆ ของเครื่องมือหรือคำสั่งทุกอย่างนั้น ผมจะไม่เน้นการบอกว่าให้ปรับเท่านั้นเท่านี้ เพราะภาพแต่ละภาพต้องการน้ำหนักการปรับค่าไม่เหมือนกัน ต้องทดลองดูด้วยภาพของคุณเอง และปรับเอาตามแนวที่คุณชอบ จุดประสงค์ของผมก็เพื่อต้องการบอกว่า มีเครื่องมืออะไรบ้างในโปรแกรมตกแต่งภาพที่ช่วยปรับปรุงภาพของคุณได้เท่านั้นครับ
บทความโดย สุระ นวลประดิษฐ์ www.stockphotothailand.com