ภาพถ่ายหนึ่งภาพ ไม่ว่าจะเป็นภาพที่สวยหรือไม่สวย น่าสนใจหรือไม่น่าสนใจ ล้วนแต่มีรายละเอียดต่างๆ มากมายมาประกอบรวมกันเข้า ทั้งที่มองเห็นอยู่ในตัวภาพและแนวคิดเบื้องหลังที่เกิดภาพนั้นขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาพที่สวยงามดูน่าสนใจ ก็จะยิ่งมีรายละเอียดที่ว่านั้นมากยิ่งขึ้น ข้อแตกต่างสำคัญอย่างหนึ่งระหว่างภาพที่ดูธรรมดากับภาพที่ดูสวยงามน่าสนใจ ก็คือสิ่งที่เรียกว่า Composition หรือองค์ประกอบภาพ สิ่งนี้ถือเป็นหัวใจหลักที่จะทำให้ภาพถ่ายแต่ละภาพถูกตัดสินว่าเป็นอย่างไรจากความรู้สึกของผู้ดูภาพ แม้ว่าการถ่ายภาพจะเป็นงานศิลปะที่จินตนาการถือเป็นเรื่องสำคัญ แต่หลักการหรือกฎพื้นฐานก็เป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องเรียนรู้ก่อนที่จะใช้จินตนาการได้อย่างอิสระเต็มที่ วาทกรรมสวยหรูดูดีมีระดับ ประเภท "คิดนอกกรอบ" "กฎมีไว้แหก" นั้นไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่ก็ต้องใช้หรือยึดถืออย่างมีหลักการด้วยจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด ก่อนจะคิดนอกกรอบก็ต้องรู้ก่อนว่า "กรอบ" อยู่ตรงไหน ก่อนจะแหกกฎก็ต้องศึกษาให้ถ่องแท้ก่อนว่า "กฎ" คืออะไร จะได้แหกออกไปได้อย่างสร้างสรรค์ คนที่คิดนอกกรอบเก่งๆ หรือแหกกฎจนได้ดิบได้ดี มักจะเป็นคนที่ศึกษากรอบและกฎมาอย่างทะลุปรุโปร่งก่อนแล้วเป็นส่วนใหญ่ การถ่ายภาพก็เช่นเดียวกัน นักถ่ายภาพผู้สร้างผลงานที่น่าสนใจหรือเป็นจดจำว่าไม่เหมือนใคร ไม่ซ้ำใคร ก็มักจะเป็นนักถ่ายภาพที่เริ่มต้นจากการศึกษาทฤษฎีหรือกฎพื้นฐานในศาสตร์ว่าด้วยการถ่ายภาพมาจนเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้วจึงเริ่มคิดนอกกรอบ หรือลงมือแหกกฎ ประเภทจับกล้องแล้วใช้จินตนาการอย่างเดียวในการถ่ายภาพ มักจะได้ภาพที่สะเปะสะปะเลื่อนลอย ไม่เป็นที่น่าสนใจและจดจำทั้งในส่วนของผู้ดูภาพทั่วไป และแม้แต่ตัวของเจ้าของผู้ถ่ายภาพเองเสียด้วยซ้ำ
Composition หรือ องค์ประกอบภาพ เป็นหนึ่งในกรอบหรือกฎแรกๆ ที่ผู้สนใจเรียนรู้การถ่ายภาพจะต้องศึกษา หลักการเกี่ยวกับ Composition หลายๆ อย่างที่เป็นความรู้สมัยโบราณ ยังสามารถนำมาใช้กับการถ่ายภาพในยุคดิจิตอลได้อย่างกลมกลืน ถ้ามีอะไรในหนังสือหรือตำราเกี่ยวกับการถ่ายภาพที่มีการจัดพิมพ์มาเป็นระยะเวลานับร้อยปีแล้ว แต่ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการถ่ายภาพในยุคนี้ด้วยกล้องดิจิตอลรุ่นล่าสุดได้ ผมมั่นใจว่าเรื่อง Composition ต้องเป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน
Composition นั้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่วัตถุหลักและตำแหน่งที่มันปรากฏอยู่ในภาพเท่านั้น แต่หมายถึงการรวมกันของทุกๆ สิ่งทุกๆอย่างที่มองเห็นในภาพ ไม่ว่าจะเป็นฉากหลัง ฉากหน้า สี แสง กรอบ วัตถุประกอบเล็กๆ น้อยๆ ฯลฯ ถ้าทุกอย่างลงตัว ภาพก็จะดูน่าสนใจ สำหรับนักถ่ายภาพที่เชื่อมั่นในจินตนาการ และลำบากใจในการที่จะเรียนรู้สิ่งที่เรียกว่า "กฎ" หรือ "กรอบ" ต่อไปนี้ ก็สามารถที่จะใช้คำว่า "Guidelines" หรือ แนวทาง แทนก็ได้ ใช้แนวทางเหล่านี้เป็นส่วนเสริมจินตนาการ เพื่อผลงานที่ดีเยี่ยมยิ่งขึ้นไป
ตำราว่าด้วย Composition มีมากมายหลายสำนัก มีทั้งที่คล้ายคลึงและแตกต่างกัน นำมาถ่ายทอดและต่อยอดได้ชนิดไม่รู้จบ มีทั้งแบบย่อๆ พอเข้าใจ ทั้งแบบพิสดารเขียนเป็นหนังสือเล่มหนาๆ ได้เป็นเล่มๆ ก็มี ต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของหลักการ Composition แบบสังเขปที่นำมาฝากกันเพื่อเป็นแนวทางสำหรับการประยุกต์ใช้ และความรู้เรื่องนี้ก็สามารถนำไปใช้ได้ครอบคลุมทั้งการถ่ายภาพทั่วไปและการถ่ายภาพเพื่อขายใน Microstock ด้วยครับ
ความเรียบง่าย : Simplicity
ถ่ายภาพให้ดูสะอาดตาปราศจากสิ่งรบกวน ไม่ได้หมายความว่า จะไม่สามารถถ่ายภาพโดยบรรจุรายละเอียดหรือส่วนประกอบต่างๆ ลงในภาพได้ แต่หมายถึงการถ่ายให้สิ่งที่ปรากฏในภาพ มีจำนวนน้อยแต่สื่อความหมายได้ครบถ้วน มองเข้าไปในช่องมองภาพ โดยเฉพาะเวลาที่ถ่ายภาพด้วยเลนส์ซูมที่มีช่วงทางยาวโฟกัสมากๆ ลองซูมภาพเข้าไปอีกจากช่วงที่คุณคิดว่าดีแล้ว ถ้าหากว่าซูม (หรือทำการ Crop ด้วยโปรแกรมจัดการภาพในภายหลัง) เข้าไปแล้ว บางสิ่งบางอย่างที่ถูกตัดออกไป ไม่ทำให้เนื้อหาหรือสิ่งที่ต้องการสื่อสารในภาพผิดไปจากที่ตั้งใจไว้ นั่นแสดงว่า ในตอนแรกคุณอาจจะใช้องค์ประกอบแบบซับซ้อนและไม่จำเป็นมากเกินไป
ภาพพระอาทิตย์ตกหลังต้นตาล เป็นภาพที่ถ่ายภายใต้แนวคิด Simplicity
ด้วยการตัดองค์ประกอบอื่นๆ ออกไปเกือบทั้งหมดโดยใช้เลนส์ระยะ 70 มม.
แทนที่จะใช้เลนส์มุมกว้างซึ่งเห็นภาพทิวทัศน์และแสงสีที่ตระการตากว่า
ถ่ายภาพเป็นเงาดำโดยไม่มีรายละเอียดใดๆ ปรากฏ
ภาพก็ดูลงตัวได้โดยปรากฏวัตถุเพียงไม่กี่อย่าง แต่ได้รับการจัดวางอย่างเหมาะสม
ทุ่งดอกดาวเรืองมีท้องฟ้าสีฟ้าเรียบๆ เป็นฉากหลัง ก็ถ่ายภายใต้แนวคิดนี้เช่นเดียวกัน
แต่ลักษณะภาพจะมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับภาพเงาดำ เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นว่า
ความเรียบง่าย ไม่ได้หมายถึงภาพที่มีรายละเอียดบนวัตถุน้อย หรือว่ามองไม่เห็น
แต่ภาพที่เต็มไปด้วยรายละเอียดเล็กๆ จำนวนมากมายอย่างดอกดาวเรืองสีเหลืองสดท่ามกลางใบสีเขียว
ก็สามารถเป็นภาพที่ไม่วุ่นวายสับสน เรียบง่ายด้วยองค์ประกอบหลักเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น
สมดุล : Balance
คำว่าสมดุลในที่นี้ มีความหมายคนละอย่างกับการวางตำแหน่งวัตถุสำคัญไว้ตรงกลางภาพพอดี เช่น ถ่ายภาพคนโดยวางตำแหน่งใบหน้าไว้ตรงกับภาพ แม้ว่าจะดูไม่เอนไม่เอียง แต่ก็จะไม่เข้าข่าย สมดุล ตามความหมายของหลักการจัด Composition แต่จะกลายเป็นภาพที่หยุดนิ่งไร้ความเคลื่อนไหว ให้แต่ข้อเท็จจริงแต่ปราศจากการเกิดจินตนาการ สมดุลในที่นี้หมายถึง ความลงตัวของการวางตำแหน่งวัตถุให้สัมพันธ์กับตำแหน่งวัตถุด้วยกัน หรือวัตถุกับสีสัน หรือวัตถุกับพื้นที่ว่าง เป็นต้น การวางองค์ประกอบแบบสมดุลมีแยกย่อยลงไปได้อีกหลายอย่าง เช่น
สมดุลแบบสมมาตร คือสมดุลที่วัตถุหรือรูปแบบ รูปทรงของวัตถุมีน้ำหนักหรือขนาดหรือรูปร่าง ที่เท่ากันหรือเหมือนกันทั้งสองข้าง การวางองค์ประกอบแบบสมมาตรต้องใช้ความละเอียดรอบคอบในการจัดตำแหน่งของวัตถุให้ดูเท่ากันหรือเหมือนกันทั้งสองข้าง เทคนิคที่ขาดไม่ได้สำหรับการวางองค์ประกอบแบบนี้ก็คือ จะต้องเปลี่ยนตำแหน่งการมองไปยังขอบของภาพในช่องมองภาพทั้งสี่ด้านอย่างจำเพาะเจาะจงทุกครั้ง จะใช้การมองแบบ "กวาดสายตา" ผ่านไปเหมือนกันการจัดวางองค์ประกอบแบบอื่นๆ ไม่ได้ ในยุคฟิล์ม การถ่ายภาพแบบสมมาตรจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะพลาดแล้วพลาดเลย การแก้ไขโดยการแต่งฟิล์มมีอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก ส่วนในยุคดิจิตอล นักถ่ายภาพสามารถแก้ไขความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ได้ด้วยการ Crop ภาพในโปรแกรมตกแต่งภาพได้ง่ายๆ แต่อย่างไรก็ตาม การถ่ายภาพโดยให้องค์ประกอบทุกอย่างออกมาสมบูรณ์ที่สุดโดยไม่ต้องแก้ไขเพิ่มเติม ก็มักจะเป็นความภาคภูมิใจส่วนตัวของนักถ่ายภาพทุกคน
สมดุลแบบสมมาตร อาจจะดูเหมือนถ่ายง่าย แต่ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบเป็นพิเศษในการให้น้ำหนักกับวัตถุทั้งสองด้าน
การกะระยะผิดเพียงเล็กน้อย จะทำให้ภาพเสียสมดุลขาดความสวยงามได้
การถ่ายภาพลักษณะนี้ แม้ว่าวัตถุเป้าหมายจะไม่ใช่วัตถุสมดุล 100% แต่การเลือกวางองค์ประกอบที่เหมาะสม
พิถีพิถันกับการวางตำแหน่งเส้นทั้งสองฝั่ง ก็ทำให้ภาพดูไม่หนักไปด้านใดด้านหนึ่ง
สมดุลแบบถ่วงน้ำหนัก คือสมดุลที่วัตถุอย่างหนึ่งไม่เหมือนกับวัตถุอีกอย่างหนึ่งในภาพ หรือมีวัตถุอย่างเดียวส่วนหนึ่งกับพื้นที่ว่างๆ อีกส่วนหนึ่งให้ช่างภาพเลือกวางตำแหน่งวัตถุลงไป การวางตำแหน่งที่ถูกต้องเหมาะสม จะทำให้พื้นที่ว่างเปล่ามี "สาร" เกิดขึ้นมาโดยอัตโนมัติเมื่อมีการมองดูภาพ หลักการในการวางสมดุลประเภทนี้ก็มีแยกย่อยออกไปได้อีก ตัวอย่างเช่น
- สีเข้มจะให้ความรู้สึกหนักกว่าสีอ่อนในปริมาตรพื้นที่เท่ากัน ดังนั้น ถ้าต้องการให้ภาพสมดุล จะต้องให้พื้นที่กับสีอ่อนมากกว่าสีเข้ม ภาพจึงจะดูสมดุล
- สิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะ คน จะมีน้ำหนักและพลังในภาพมากกว่าวัตถุทั่วไป ดังนั้น การวางตำแหน่งหรือขนาดของ คน ในภาพเล็กกว่าพื้นที่ของวัตถุหรือพื้นที่ว่าง ก็ยังสามารถสร้างความสมดุลได้
บริเวณส่วนหัวของสปริงเกลอร์ที่มองเห็นเส้นน้ำขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนไหว โดยทฤษฎีแล้วมีพลังดึงดูดสายตามากกว่าหยดน้ำเล็กๆ
ที่กระเซ็นออกไปทั่วบริเวณ ดังนั้น แม้ว่า พื้นที่ของหยดน้ำจะมีมากกว่าพื้นที่ของหัวสปริงเกลอร์ แต่น้ำหนักโดยรวมของภาพก็จะพอดี
เป็นการจัดสมดุลในภาพโดยใช้สิ่งที่มีเนื้อหาไม่เหมือนและไม่เกี่ยวข้องกันเลยแบบนี้ มักจะไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว
เพราะโอกาสที่จะพบวัตถุแบบเดิมมีน้อย มักจะพบสถานการณ์ที่แตกต่างออกไปเสมอ
ทักษะในการตัดสินใจวางน้ำหนักของวัตถุ พื้นที่ และสีสัน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องหมั่นฝึกฝนอยู่เป็นประจำ
กฎสามส่วน : Rule of Thirds
มีน้อยยิ่งกว่าน้อยที่จะพูดถึงเรื่อง Composition โดยไม่กล่าวถึงคำนี้ กฎสามส่วนถือเป็นหนึ่งในหัวข้ออมตะตลอดกาลของวิชาการถ่ายภาพมาทุกยุคทุกสมัย ไม่มีคำว่าเชยหน้าล้าสมัยสำหรับกฎนี้ ถ้ามีเวลาสามนาทีสำหรับการสอนมือใหม่ที่เพิ่งหัดจับกล้องให้ถ่ายภาพ ผมจะเลือกแนะนำเรื่องกฎสามส่วนเป็นอันดับแรก กล้องดิจิตอลปัจจุบันนี้มีคุณภาพสูงมากพอที่คนไม่เคยจับกล้องมาเลย จะมีโอกาสได้ภาพที่คมชัดและเปิดรับแสงถูกต้องในระดับมาตรฐานจากการตั้งค่าโหมดสำเร็จรูปต่างๆ ที่กล้องมีให้อยู่แล้ว แต่การจัดองค์ประกอบภาพยังคงเป็นเรื่องที่ผู้ถ่ายภาพต้องใช้ทักษะส่วนตัวเข้ามาจัดการ และกฎสามส่วนก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดที่จะเรียนรู้ มีโอกาสได้ใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลายกว่ากฎเกี่ยวกับ Composition อื่นๆเรียกว่า ไม่รู้อะไรเลย รู้แต่เรื่องกฎสามส่วนก็พอจะมีโอกาสได้ภาพดีๆ กับเขาได้บ้างในการถ่ายภาพทั่วไป
กฎสามส่วนคือการลากเส้นสองเส้นแบ่งพื้นที่ภาพออกเป็นสามส่วนเท่าๆ กัน ทั้งในแนวตั้งและแนวนอน จุดที่เส้นเหล่านี้ตัดกัน (ซึ่งจะมีสี่จุดในภาพหนึ่งๆ) คือจุดที่เหมาะสมที่สุดในการวางวัตถุหลักลงไป กฎนี้ใช้ได้กับภาพที่ถ่ายทั้งในแนวตั้งและแนวนอน จุดที่วางวัตถุลงไปในภาพตามกฎนี้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นจุดตัดพอดีตายตัว แต่สามารถเยื้องไปซ้ายหรือขวา ขึ้นบนหรือลงล่างจากจุดนั้นได้เล็กน้อยตามความเหมาะสม ในขั้นตอนการถ่ายภาพจริง นักถ่ายภาพต้องใช้การลากเส้นแบ่งพื้นที่ด้วย "ความคิด" ในขณะจัดองค์ประกอบภาพ แม้ว่าจอ LCD ของกล้องจำนวนมากจะมีฟังก์ชั่นที่สามารถแสดงภาพพร้อมด้วยเส้นที่แสดงกฎสามส่วนได้ แต่ในทางปฏิบัติการแบ่งพื้นที่กฎสามส่วนด้วย "ความคิด" จะสะดวกรวดเร็วให้ประสิทธิภาพดีกว่า และนักถ่ายภาพทุกคนก็ควรฝึกการมองในช่องมองภาพให้เห็นเป็นพื้นที่ที่ได้รับการจัดแบ่งตามกฎสามส่วนโดยอัตโนมัติเสมอ จะช่วยให้การวางองค์ประกอบภาพแบบนี้ง่ายขึ้นมาก
การจัดองค์ประกอบแบบนี้มักจะเห็นกันบ่อยครั้งที่สุด และมีโอกาสได้ใช้งานมากที่สุดในสถานการณ์ทั่วไป
ภาพนี้วางองค์ประกอบโดยยึดหลักกฎสามส่วน แต่จงใจวางตำแหน่งให้กว้างออกมาจากจุดตัดของเส้นอีกด้านละเล็กน้อย
ทั้งในส่วนของพระธุดงค์ และ ต้นไม้ที่อยู่ด้านบน แม้ว่าพื้นที่ของต้นไม้จะมีมากกว่า
แต่พลังของภาพพระก็มีมากพอที่จะถ่วงน้ำหนักของภาพได้พอดี
เหมือน และ แตกต่าง : Similar & Different
เทคนิคการจัดองค์ประกอบที่ให้พลังแก่ภาพได้เป็นอย่างดีอีกอย่างหนึ่ง คือการมองหาวัตถุที่มีทั้งความเหมือนและแตกต่างรวมอยู่ด้วยกัน วัตถุชนิดเดียวกันหรือประเภทเดียวกันที่มีลักษณะเหมือนกัน และปรากฏอย่างเป็นระเบียบหรือมีรูปแบบเหมือนกันทุกประการในภาพ ส่วนใหญ่จะสร้างความรู้สึกนิ่ง สงบและเป็นเอกภาพ ในขณะที่วัตถุชนิดเดียวกันหรือประเภทเดียวกันจำนวนมาก แต่มีความแตกต่างหรือแปลกแยกเพียงจุดเดียวหรือชิ้นเดียว จะให้ความรู้สึกเหนือความคาดหมาย ตื่นเต้น ขัดแย้ง การวางจุดแปลกแยกหรือแตกต่างไว้ในตำแหน่งหรือทิศทางที่เหมาะสม จะช่วยเน้นอารมณ์ดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ภาพพระพุทธรูปมียังมีเศียรเหลือองค์เดียวในขณะที่องค์อื่นๆ ไม่มีเศียร และอยู่ในท่าทางที่ผิดจากปกติธรรมดา
เมื่อดูแล้วจะเกิดความรู้สึกเหนือความคาดหมายและชวนให้ติดตามมากกว่าปกติ
ในการถ่ายภาพ หากมีการถ่ายเปรียบเทียบกันเพียงสององค์ ( ภาพด้านล่างนี้ ) ก็จะให้ความรู้สึกแตกต่างได้น้อยกว่าภาพที่ถ่ายให้เห็นพร้อมๆ กันหลายองค์
แต่มีองค์ที่มีเศียรครบเพียงองค์เดียว ซึ่งเป็นการเพิ่มปริมาณของตัวเปรียบเทียบ ทำให้ความรู้สึกแปลกแยกรุนแรงกว่า
วัตถุเปรียบเทียบมีน้อย ความรู้สึกขัดแย้งอาจะจะไม่รุนแรง หรืออาจจะไม่ชัดเจน
การเคลื่อนไหว และ ทิศทาง : Movement & Direction
วัตถุที่มีความเคลื่อนไหวในตัวเอง จะต้องใช้ความระมัดระวังในการวางตำแหน่งมากกว่าวัตถุที่อยู่นิ่ง ทักษะในการวิเคราะห์ทิศทางความเคลื่อนไหว และวางองค์ประกอบเพื่อเปิดพื้นที่ให้การเคลื่อนไหวได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องนั้นสำคัญมากสำหรับภาพในรูปแบบนี้ จุดสิ้นสุดการเคลื่อนไหวของวัตถุ ไม่ควรอยู่ชิดหรือติดกับขอบภาพด้านใดด้านหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อด้านตรงข้ามยังมีพื้นที่ว่างเหลืออยู่หรือมีวัตถุอื่นปรากฏอยู่ ธรรมชาติของความรู้สึกในการมองภาพ ถ้าวัตถุในภาพมีการเคลื่อนไหว เช่น สายน้ำไหล รถวิ่ง คนเดิน เป็นต้น ทิศทางการที่เคลื่อนไหวไป จะมีพลังดึงดูสายตาและอารมณ์มากกว่าวัตถุที่หยุดนิ่งซึ่งปรากฏอยู่ในภาพเดียวกัน แม้ว่าวัตถุดังกล่าวนั้นจะมีความน่าสนใจมากเมื่ออยู่เดี่ยวๆ ในภาพอีกภาพหนึ่ง หลักการง่ายๆ คือการพยายามหาพื้นที่ว่างให้ต่อเนื่องจากจุดสิ้นสุดการเคลื่อนไหวของวัตถุไปอีกสักเล็กน้อย เพื่อให้ "จินตนาการ" ของผู้ดูภาพได้ทำงานร่วมกับภาพวัตถุที่ปรากฏอยู่ในภาพ
ตัวอย่างภาพที่วางองค์ประกอบไม่เหมาะสมกับเนื้อหาภาพ
ภาพน้ำตกที่ไหลลงมาเป็นลำดับชั้นจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ แสดงลักษณะการไหลต่อเนื่องอย่างชัดเจน
ภาพแรกด้านบน เป็นการวางตำแหน่งขององค์ประกอบภาพที่ไม่เหมาะสมกับเนื้อหาหลักของภาพ
คือการไหลต่อเนื่องน้ำตกจะตกขอบ ทำให้ความรู้สึกในการดูภาพไม่ต่อเนื่อง เหมือนดูหนังสือแล้วไม่ได้ดูตอนจบ
ในขณะที่ภาพล่างลงมา วางองค์ประกอบภาพได้เหมาะสม หลังจากน้ำไหลถึงขั้นสุดท้ายแล้ว
ยังมีพื้นที่เปิดสำหรับให้ผู้ดูภาพได้จินตนาการต่อเนื่องไปในความรู้สึกว่าน้ำยังคงไหลต่อไปได้
เป็นข้อแตกต่างอย่างชัดเจนของภาพสองภาพที่ถ่ายจากตำแหน่งที่ใกล้เคียงกัน ตั้งค่าต่างๆ ในกล้องเหมือนกัน
แต่วางองค์ประกอบแตกต่างกัน
ขาด และ ครบ : Partial & Complete
เทคนิคการจัดองค์ประกอบภาพโดยใช้เรื่องราวที่ไม่ครบ หรือความไม่สมบูรณ์ของวัตถุประกอบอื่นๆ แล้วสรุปลงที่ความครบถ้วนสมบูรณ์ของวัตถุที่เราต้องการให้เป็นเรื่องราวหลักในภาพก็เป็นวิธีการที่ได้ผลดี ภาพมีวัตถุรองหรือวัตถุแวดล้อมที่ขาดๆ เกินๆ ไม่สมบูรณ์ในตัวเอง เป็นเสมือนสิ่งที่สร้างความสงสัยใคร่รู้ให้กับผู้ดูภาพ วัตถุหลักก็จะมีความโดดเด่น เป็นการจัดองค์ประกอบไม่กี่แบบที่สามารถวางวัตถุหลักไว้บริเวณกลางๆ ภาพได้โดยที่ผู้ดูภาพเห็นแล้วยังคงใช้จินตนาการคิดต่อไปได้ หรือว่ายังคงต้องกวาดสายตาไล่ไปยังองค์ประกอบรองอื่นๆ หลังจากที่มองเห็นวัตถุหลักกลางภาพแล้ว ปกติการวางวัตถุหลักไว้กลางภาพ เมื่อสายตาของผู้ดูภาพมองเห็นแล้ว ก็จะจบความสนใจในภาพไว้เพียงเท่านั้น
ภาพพระพักตร์พระพุทธรูปสีทองท่ามกลางพระพุทธรูปในอิริยาบถอื่นๆ ซึ่งจงใจถ่ายตัดส่วนมาไม่ให้ครบถ้วนบ้าง
จงใจให้เบลอแต่ยังพอเห็นรูปร่างบ้าง เป็นตัวอย่างสำหรับวิธีการวาง Composition ลักษณะนี้
ภาพนี้จะสร้างความสนใจให้กับผู้ดูภาพได้สองลักษณะด้วยกัน ลักษณะแรกคือการดูภาพจากรอบนอก
ซึ่งจะมองเห็นแต่ความขาด ความเบลอ ความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ มีแต่ความอึดอัดขัดใจ
แต่เมื่อสายตามาจบลงตรงพระพักตร์พระที่คมชัด อารมณ์ก่อนหน้าก็จะหายไป ความนิ่งสงบชัดเจนจะเข้ามาแทนที่
ลักษณะที่สองคือการดูภาพโดยเริ่มจากจุดคมชัดที่สุดคือพระพักตร์ขององค์พระก่อน จากนั้นภาพพร่าๆ มัวๆ
ก็จะเชิญชวนให้สำรวจสายตาไปมองว่านั่นเป็นภาพของวัตถุอะไร
เมื่อมองเห็นองค์ประกอบที่ไม่สมบูรณ์ซึ่งตามหลักจิตวิทยาแล้วไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปต้องการมองเห็นในภาพ
สายตาก็จะถูกดึงกลับมาสู่จุดเริ่มต้นคือพระพักตร์ของพระองค์กลางอีกครั้ง เป็นความจริงที่ว่า
ภาพถ่ายส่วนใหญ่มักจะไม่สามารถดึงดูดสายสายให้มองสำรวจไปทั่วภาพได้
ส่วนใหญ่จะมองเพียงจุดเดียวหรือสองจุดก็จะจบสิ่งที่ต้องการค้นหาหรือสนใจ
ภาพใดที่สามารถทำให้ผู้ดูมองแบบสำรวจไปทั่วพื้นที่ภาพได้ ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง
ใช้หลักการเดียวกัน เพียงแต่เนื้อหาของภาพจะไม่ซับซ้อนเหมือนภาพพระพุทธรูป
แต่การวางองค์ประกอบแบบนี้ทำให้ภาพมะเขือเทศชิ้นกลางดูโดดเด่นสมบูรณ์
รูปทรง และ ระดับ : Shape&Dimension
กฎคลาสสิกเกี่ยวกับ Composition ที่เราจะพบเห็นบ่อยๆ (ซึ่งไม่ได้นำมากล่าวไว้ในบทความนี้) คือกฎเกี่ยวกับ เส้น หรือ Line ซึ่งเส้นตรงต่อเนื่องจะช่วยบังคับสายตาให้ไปหยุดอยู่ ณ จุดที่ผู้สร้างสรรค์ภาพต้องการ ส่วนเส้นโค้งจะช่วยสร้างความรู้สึกลื่นไหลหรืออ่อนหวานนุ่มนวลให้กับภาพ ในกรณีที่เรากำลังจะถ่ายภาพซึ่งปราศจากเส้นตรงต่อเนื่อง หรือปราศจากเส้นโค้งที่สร้างความลื่นไหล แต่มีเส้นสั้น หรือวัตถุที่เป็นรูปทรงเช่น สี่เหลี่ยม ปรากฏอยู่จำนวนมาก แทนการถ่ายภาพให้ลื่นไหลหรืออ่อนหวาน เราสามารถใช้เส้นตรงและรูปทรงสร้างภาพที่มีระดับชั้น มีความลึก เรียกรวมๆ ว่ามีมิติ ลักษณะไม่ต่อเนื่องเหมือนการไหลของน้ำ แต่ให้ความรู้สึกมีจังหวะหนักเบา ให้ความตื่นเต้น สนุกสนานและมีชั้นเชิงได้ในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมักจะได้ภาพที่ดูแตกต่างออกไปจากภาพทั่วๆ ไปที่วางองค์ประกอบโดยใช้เส้นตรงต่อเนื่องหรือเส้นโค้ง
ทั้งสามภาพนี้ ในภาพจะไม่มีเส้นตรงต่อเนื่องหรือเส้นโค้งให้เลือกใช้งานเลย
การเลือกเล่นกับรูปทรงสี่เหลี่ยมแทนจึงเป็นทั้งความจำเป็นความท้าทายในการถ่ายภาพชุดนี้
เลนส์มุมกว้างที่สุดเท่าที่มี และขาตั้งกล้องที่มั่นคงแข็งแรงเป็นอุปกรณ์จำเป็น
เนื่องจากต้องใช้รูรับแสงแคบเพื่อระยะชัดที่ครอบคลุมทั้งภาพ
หลัก กฎ แนวคิด วิธีการวางองค์ประกอบภาพ (แล้วแต่จะเรียก) ยังมีอีกมายหมายหลายสิบอย่าง สำหรับนักถ่ายภาพที่ต้องการจะเรียนรู้เพื่อนำมาประยุกต์ใช้งานในการสร้างสรรค์ภาพถ่ายที่มีความสวยงาม เมื่อเรียนรู้และใช้งานหลักการพื้นฐานทั่วไปได้อย่างคล่องแคล่วและมีประสิทธิภาพแล้ว เมื่อถึงเวลาที่ต้อง "คิดนอกกรอบ" หรือ "แหกกฎ" ก็สามารถทำได้อย่างมีคุณภาพแน่นอนครับ
บทความโดย สุระ นวลประดิษฐ์ www.stockphotothailand.com