นักถ่ายภาพแต่ละช่วงอายุ แต่ละประสบการณ์ แต่ละฐานะ มีประสบการณ์ในการถ่ายภาพไม่เหมือนกัน ช่วงที่ผมเริ่มต้นสนใจการถ่ายภาพใหม่ๆ สมัยยังเป็นวัยรุ่นตอนต้น (นานมากแล้วครับ) ซึ่งขณะนั้นการถ่ายภาพยังใช้กันเฉพาะฟิล์มสไลด์กับฟิล์มเนกาตีฟเป็นหลัก คอมพิวเตอร์ยังเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ไกลเกินเอื้อมสำหรับคนทั่วไป และโปรแกรมตกแต่งภาพเท่าที่ผมทราบก็เป็นสิ่งที่เข้าใจว่ายังไม่เกิดขึ้นในโลกในขณะนั้น สำหรับนักถ่ายภาพมือใหม่เช่นผม (และนักถ่ายภาพทั่วไปอีกเกือบร้อยละร้อย) การถ่ายภาพนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจะดีจะเสียก็ต้องยึดหลัก "จบในกล้อง"
ภาพระดับที่ต้องใช้ "เทคนิค" เกือบทั้งหมดก็ต้องทำให้จบภายในกล้อง เช่น การซ้อนภาพ การแพน การระเบิดซูม เป็นต้น แม้ว่าเทคนิคห้องมืดจะสามารถสร้างสรรค์อะไรที่แปลกแตกต่างออกไปจากการถ่ายภาพตามปกติได้อีกมากมาย รวมทั้งลักษณะเฉพาะของภาพแต่ละภาพแต่ละแนว ก็ยังสามารถทำได้ด้วยการเลือกใช้ฟิล์มชนิดต่างๆ ที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไปมาใช้งาน แต่นั่นก็เป็นเรื่องของช่างภาพอีกระดับหนึ่งที่ไม่ใช่ช่างภาพ "ทั่วไป" หรือไม่ก็เป็นที่อุปสรรคอื่นๆ เช่น ฟิล์มแปลกๆ หาซื้อยากและราคาแพงกว่าปกติมาก เทคนิคที่ทำให้ได้ภาพแปลกแตกต่างออกไปหลังจากจบในกล้องเทคนิคแรกที่ผมเองได้รู้จักก็คือ การสั่งให้ร้านล้างอัดภาพ อัดออกมาแบบ "ซีเปีย" ครับ เราถ่ายไปเป็นภาพสี แล้วภาพที่อัดได้ก็จะเป็นสีซีเปียที่ให้ความรู้สึกแตกต่างอย่างมากไปจากภาพแบบเดิมๆ ที่เคยเห็น ช่างภาพมืออาชีพหรือคนที่อยู่ในวงการถ่ายภาพจริงๆ อาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่สำหรับวัยรุ่นมือใหม่บ้านนอกคอกนาแล้ว มันเป็นอะไรที่แปลกใหม่จริงๆ ครับ
ภาพบันทึกเหตุการณ์ทั่วๆ ไปภาพนี้ ถ้าเป็นสมัยก่อน ถ่ายให้จบในกล้องก็เพียงแต่ใช้ฟิลเตอร์ซอฟต์สวมเข้าหน้าเลนส์
แต่ในปัจจุบันนี้ การใช้โปรแกรมเช่น Lightroom ทำการปรับ Clarity
หรือมิติของภาพให้มีค่าเป็นลบสักประมาณ -40 ก็ให้ผลที่ใกล้เคียงกัน
ครั้งหนึ่งผมซื้อนิตยสารเกี่ยวกับการถ่ายภาพเล่มหนึ่งมาอ่าน ผมได้มีโอกาสเห็นภาพที่ใช้คำว่าดูแล้ว "ตกตะลึง" ได้อย่างไม่ต้องเคอะเขินอยู่ภาพหนึ่ง ซึ่งเป็นภาพที่ติดตาตรึงใจมานับแต่นั้นนานกว่ายี่สิบปีแล้ว นั่นคือภาพขาวดำที่มีชื่อว่า "เมื่อพายุโหม" ผลงานของบรมครูแห่งวงการถ่ายภาพไทย อาจารย์จิตต์ จงมั่นคง ภาพนั้นมีความสมบูรณ์ทุกๆ อย่างเท่าที่คนชอบการถ่ายภาพคนหนึ่งอยากจะเห็นในภาพสักภาพหนึ่ง (ปัจจุบันนี้ คุณสามารถใช้ Google ค้นหาเพื่อดูภาพ "เมื่อพายุโหม" ที่ว่านี้ได้ไม่ยากครับ) ตัวภาพนั้นว่าน่าประทับใจแล้ว แต่ที่มาของภาพนั้นน่าทึ่งกว่าสำหรับวันรุ่นมือใหม่หัดถ่ายภาพอย่างผม ในหนังสือเล่มนั้น มีบทสัมภาษณ์อาจารย์จิตต์ ถึงที่มาของการสร้างสรรค์ภาพนี้ ท่านอธิบายถึงขั้นตอนการสร้างภาพที่สลับซับซ้อน ใช้ทั้งฝีมือและเทคนิคการถ่ายภาพ ทั้งจินตนาการ ทั้งความละเอียด ทั้งความอดทน ในการค่อยๆ นำภาพคนถ่อเรือกับภาพเมฆดำที่เป็นฉากหลังมาซ้อนเข้าด้วยกัน ขณะนั้นปี พ.ศ.2503 มันไม่มีโปรแกรมอะไรช่วยได้ ทุกอย่างต้องทำแบบ "แมนนวล" ร้อยเปอร์เซ็นต์ (รายละเอียดการสร้างสรรค์ภาพนี้ของอาจารย์จิตต์ สามารถค้นหาได้จาก Google เช่นเดียวกันครับ มีคนนำมาเขียนไว้มากมาย) ก่อนจะกลายเป็นภาพ "เมื่อพายุโหม" อันลือลั่น ถือเป็นหนึ่งในภาพ "เครื่องหมายการค้า" ของอาจารย์จิตต์ไปโดยปริยาย นอกจากได้ภาพประทับใจตลอดกาลเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งภาพแล้ว ผมก็ยังได้ความรู้ใหม่ว่า การถ่ายภาพนั้น บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องจบในกล้องเพียงครั้งเดียวเสมอไป
ภาพที่ถ่ายผ่านกระจก แม้ว่าจะได้รับการป้องกันอย่างดีแล้ว แต่บางครั้งก็อาจจะมีส่วนเกินเช่น
แสงสะท้อนจางๆ ผ่านเข้ามาบ้างโดยบังเอิญ การปรับแต่งด้วย Photoshop
โดยการปรับ Curve ช่วยบรรเทาปัญหาทำนองนี้ได้
มาจนถึงปัจจุบัน ในยุคที่การถ่ายภาพและการสร้างสรรค์ถือได้ว่าเป็นยุค "ดิจิตอล" เต็มระบบ อะไรๆ เกี่ยวกับการถ่ายและสร้างสรรค์ภาพก็ล้วนแต่มีคอมพิวเตอร์เข้าไปเกี่ยวข้องในทุกกระบวนการ แม้ว่าจะมีนักถ่ายภาพที่ยังคงยึดมั่นในแนวทาง "จบในกล้อง" อยู่อีกจำนวนหนึ่ง และคงขัดใจบ้างถ้าบังเอิญได้มาอ่านบทความนี้ แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่ามีไม่มากนัก ผมเองเป็นนักถ่ายภาพที่โดยส่วนตัวนั้น ยอมรับและกล้าพูดว่า ไม่มีความเชื่อมั่นในคำว่า "จบในกล้อง" อีกแล้วใน พ.ศ.นี้ แต่ถ้าบอกว่า ภาพที่ดี มักจะมาจากการถ่ายที่มีคุณภาพเป็นพื้นฐาน แล้วมาผ่านการปรับแต่ง หรือ Process อย่างเหมาะสมเพิ่มเติมในภายหลัง อย่างนี้จะฟังดูดีกว่า หรือต่อให้ถ่ายภาพโดยไม่มีการนำมาปรับแต่งอะไรในคอมพิวเตอร์เลยแม้แต่นิดเดียว ในความคิดของผม กล้องดิจิตอลยุคปัจจุบันนี้มันก็คือคอมพิวเตอร์ที่บรรจุโปรแกรมเกี่ยวกับภาพโดยเฉพาะไว้ในรูปทรงของสิ่งที่เรียกว่า "กล้องถ่ายภาพ" เพื่อทำงานร่วมกับสิ่งอื่นๆ เช่น เลนส์ แฟลช ฯลฯ ถึงอย่างไรภาพที่ออกมา ก็ผ่านการประมวลผลจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในกล้องอยู่ดี อันนี้ถือว่าเป็นมุมมองส่วนตัวนะครับ อย่ามาถกเถียงกันเลย ไม่ใช่ประเด็นหลัก
ภาพถ่ายระยะไกลในเขตเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร ถ่ายในระยะเป็นกิโลเมตรด้วยเลนส์ 200 มม.
ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือควันจำนวนมาก
ที่ขวางทางอยู่ระหว่างหน้าเลนส์กับกลุ่มตึกที่เป็นวัตถุเป้าหมาย
ทำให้ภาพดูนุ่ม ขาดความเปรียบต่าง และสีสันก็ถูกกลุ่มควันดูดซับหายไปมาก
รวมทั้งการตั้งค่า White Balace ก็อาจจะผิดพลาดได้ง่าย การปรับปรุงภาพต้องใช้คำสั่งหลายอย่าง
เช่น Curve, Saturation และการทดลองเปลี่ยนค่า White Balance ที่เหมาะสม
สาระสำคัญของบทความนี้อยู่ที่ ผมต้องการบอกมือใหม่หัดถ่ายภาพในยุคดิจิตอลนี้ว่า นอกจากวิธีการใช้งานกล้องถ่ายภาพในมือคุณ และทฤษฎีการถ่ายภาพที่คุณต้องเรียนรู้แล้ว เทคนิคการปรับแต่ง หรือ Process ภาพด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ภายหลังการถ่ายภาพ ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่คุณจำเป็นต้องเรียนรู้ด้วย มันไม่ใช่ Options หรือทางเลือกที่คุณจะเรียนรู้หรือไม่เรียนรู้อีกต่อไปแล้ว แต่มันเป็นสิ่งที่ถือเป็น "วิชาบังคับ" ที่คุณต้องใฝ่ใจขวนขวายเรียนรู้ให้ช่ำชองเชี่ยวชาญตั้งแต่เริ่มต้นเป็นมือสมัครเล่น การเรียนรู้เรื่อง Post-processing ไม่ใช่เรื่องของโปรเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของนักถ่ายภาพทุกๆ ระดับ แม้กล้องของคุณจะเป็นคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่ฉลาดสุดๆ ในการสร้างภาพ แต่มันก็ยังเป็นเพียง "เครื่องมือ" เบื้องต้นเท่านั้น มันตอบสนองคุณได้เพียงความต้องการด้าน "เทคนิค" แต่ยังไม่เก่งพอที่จะตอบสนอง "อารมณ์" และ "จินตนาการ" ของมนุษย์ได้อย่างละเอียดในทุกสถานการณ์ ไฟล์ RAW ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อให้ผู้ถ่ายภาพได้นำไปปรับแต่งอันนี้เป็นที่รู้กัน แม้ว่าภาพต้นฉบับที่ได้จากไฟล์ชนิดนี้จะมีสีสันที่ดูเผินๆ จืดชืดไร้ชีวิตชีวา แต่พอได้รับการปรับแต่งที่ถูกต้องก็จะให้ภาพที่สวยงามและยังคงคุณภาพในเนื้อไฟล์ในระดับสูง อย่างไรก็ตามมีนักถ่ายภาพจำนวนหนึ่งที่ยึดมั่นกับหลักการ "จบในกล้อง" และเลือกใช้ไฟล์ JPG กับทุกๆ ภาพที่ถ่าย (เพราะคิดว่ามันไม่ต้องการการปรับแต่งแล้ว) ในความคิดส่วนตัวของผม ซึ่งไม่ขอยืนยันว่าผิดหรือถูก และไม่ขอโต้เถียงกับใครในประเด็นนี้ แต่มีความเห็นว่า ไฟล์ JPG ทุกไฟล์ที่เราถ่ายมา ล้วนแต่ผ่านการปรับแต่งจากคอมพิวเตอร์ในกล้อง ซึ่งมีที่มาจากการคิดคำนวณและการตัดสินใจของ "วิศวกร" ผู้ออกแบบกล้องแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นแล้วใส่ค่าต่างๆ เอาไว้ให้เราเลือกใช้เท่านั้นเองบางครั้งก็ให้ผลดีเยี่ยม บางครั้งก็ไม่ได้ดังใจที่เราต้องการ
ภาพที่ต้องการสีสันฉูดฉาดให้เข้ากับเนื้อหาในภาพ สำหรับคนที่ไม่ชำนาญการปรับแต่ง
ถ้าหากว่าใช้โปรแกรมประเภท Lightroom หรือ Photoshop
ก็สามารถหา Preset ต่างๆ มาใช้งานได้ ซึ่งมีแจกฟรีอยู่มากมายในอินเตอร์เน็ต
สาเหตุสำคัญที่ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมา ก็เนื่องจากผมสังเกตเห็นว่า หลายๆ ครั้งที่ผมเปิดเว็บไซต์ต่างๆ ดูภาพ ที่นำมาโพสต์โชว์กันในเว็บไซต์สำหรับโชว์ภาพต่างๆ หรือนำมาขอความคิดเห็น ขอคำวิจารณ์ บรรดามือใหม่หลายๆ ท่าน ไม่แน่ใจว่าเกิดจากความตั้งใจหรือได้ ได้นำเอาภาพที่ถ่ายมาตรงๆ จากกล้องโดยไม่ผ่านการปรับแต่งใดๆ มาโพสต์ เห็นได้ชัดว่าภาพจำนวนหนึ่งมีสีสันไม่สดใสน่ามอง มีม่านหมอกทึมทึบ มี White Balance ที่ผิดเพี้ยน มีมิติภาพที่แบนเรียบ มีความเปรียบต่างที่ดูแล้วไม่สบายตา มีเส้นขอบฟ้าที่เอียง มีเส้นตรงที่ดูโค้งหรือบิดเบี้ยวจากคุณภาพของเลนส์ มีองค์ประกอบที่ขาดๆ เกินๆ นั่นนิดนี่หน่อย ฯลฯ ซึ่งบางอย่างเป็นข้อบกพร่องที่สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยโปรแกรมตกแต่งภาพธรรมดาๆ โดยใช้คำสั่งที่ไม่สลับซับซ้อนอะไร แล้วก็มีความเห็น หรือคอมเม้นท์ต่างๆ ในทางลบจนแทบจะทำให้เจ้าของภาพสูญเสียความมั่นใจไปเลย อาจจะมีเจ้าของคอมเม้นท์หลายๆ ท่านซึ่ง Process งานของตัวเองทุกภาพจนได้ภาพที่สวยงามแล้วนำมาโพสต์เผยแพร่ จนกระทั่งได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการถ่ายและวิจารณ์ภาพ ผมเชื่อว่าเขาดูภาพปุ๊บก็รู้ปั๊บเลยว่า ภาพนี้ไม่ได้ผ่านการ Process มาแต่อย่างใด แต่ก็ยังวิจารณ์ภาพไปตามที่เห็นโดยไม่ได้พยายามที่จะบอกหรือให้แนวทาง คำแนะนำแก่น้องๆ หรือมือใหม่เหล่านั้นว่า ภาพนั้นควรได้รับการปรับแต่งอย่างนั้นอย่างนี้สักเล็กน้อย (แนะนำโปรแกรมไปเลยก็ได้ มือโปรจำนวนมากก็ใช้โปรแกรมกันอยู่แล้ว) แล้วมันจะดีขึ้นมาก บางทีก็มีการวิจารณ์ภาพที่ไม่ผ่านการ Process โดยเอาพื้นฐานความเห็นในระดับเดียวกับภาพที่ผ่านการ Process มาอย่างดีแล้ว ซึ่งผมคิดว่าไม่ค่อยยุติธรรมนัก (ความเห็นส่วนตัวนะครับ)
ภาพต้นฉบับมาจากไฟล์ RAW ซึ่งให้สีสันเบื้องต้นที่จืดกว่า JPG
แต่เมื่อผ่านการปรับแต่งตามต้องการแล้วก็จะมีสีสันที่สดใสขึ้น
โดยปกติการถ่ายภาพลักษณะนี้ด้วยไฟล์ JPG โดยใช้ Picture Style หรือ Picture Control
เป็น Landscape ก็ให้ผลใกล้เคียงกันกับภาพนี้
ประเด็นที่ผมพูดถึงนี้ คือในแง่ของภาพแนวศิลปะหรือแนวถ่ายตามความพอใจทั่วไป ผมเคยอ่านข้อความของนักถ่ายภาพที่แสดงภาพ ซึ่งผมมีความมั่นใจ (และคนถ่ายภาพที่ใช้โปรแกรมตกแต่งภาพก็น่าจะดูออกไม่ยาก) ว่าผ่านการปรับแต่งหรือตกแต่งมาแล้วอย่างแน่นอน บางภาพก็แต่งหนักมากๆ ด้วยซ้ำ แต่เจ้าของภาพก็ยังอุตส่าห์เขียนข้อความที่พยายามสื่อให้คนอ่านเข้าใจไปในทำนองว่า ภาพนั้น "จบในกล้อง" หรือไม่ผ่านการปรับแต่ง เพื่อจะบอกผู้ดูว่าคนถ่ายภาพนี้ถ่ายภาพได้ดี เหตุการณ์ทำนองนี้มักจะเกิดขึ้นในกลุ่มนักถ่ายภาพที่ถ่ายแนวศิลปะหรือการถ่ายเพื่อโชว์ความสามารถทั่วไป ซึ่งหลายคนมักจะรู้สึกว่า การบอกคนอื่นว่า ภาพของฉันผ่านการปรับแต่งมา เป็นเรื่องน่าอาย หรือ "ไม่มีฝีมือ" แต่สำหรับกลุ่มนักถ่ายภาพบางกลุ่ม เช่นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานภาพเชิงพาณิชย์อย่าง http://www.stockphotothailand.com/forums หรือกลุ่มในเฟซบุ๊คอย่าง http://www.facebook.com/groups/thaistocker (ซึ่งแน่นอน ผมเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มนี้เช่นกัน) จะไม่มีปัญหานี้ เนื่องจากถือว่า การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการปรับแต่งหรือตกแต่งภาพให้ดีขึ้นจากภาพถ่ายปกติที่ถ่ายอย่างพิถีพิถันนั้นเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องน่าอาย เสียหน้า หรือเสียฟอร์มแต่อย่างใด
ทีนี้บางท่านอาจจะแย้งว่า นั่นเป็นการใช้งานภาพเชิงพาณิชย์ การปรับแต่งหรือการตกแต่งจึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้าเป็นการถ่ายภาพในเชิงศิลปะทั่วไป การใช้โปรแกรมถือเป็นสิ่งที่ผิดวัตถุประสงค์ ข้อนี้ถ้าจะเถียงกันจริงๆ ก็ยาว จบยาก แต่อยากให้ลองเข้าไปดูงานในกลุ่มที่มีเป้าหมายเป็นผู้เสพงานศิลปะ ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ใหญ่ระดับโลกอย่างที่ www.fineartamerica.com ซึ่งแต่ละปีมียอดการซื้องานศิลปะ (โดยเฉพาะภาพถ่าย) จากที่นี่เป็นจำนวนมหาศาล จะเห็นว่า การปรับแต่งหรือตกแต่ง แม้แต่การตัดต่อภาพ ไม่ได้เป็นประเด็นกีดขวางระหว่างผู้นำเสนอและผู้เสพงานศิลปะแต่อย่างใด เมื่อดูแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละท่านนะครับ
ภาพลักษณะนี้ จากประสบการณ์ของผม พบว่าบางครั้งยากที่จะตัดสินใจได้เด็ดขาดว่า
ใช้ White Balance แบบใดจึงจะดูสวยงามกว่ากัน โดยปกติจะถ่ายด้วยไฟล์ RAW
แล้วค่อยมาลองเปลี่ยนภายหลังในโปรแกรม Lightroom พร้อมกับปรับ Vibrance
และ Saturation ไปอีกอย่างละเล็กน้อยเท่านั้น
การปรับแต่ง หรือ Process ในความหมายของผมตามบทความนี้นั้น หมายเอาเฉพาะการปรับปรุงคุณภาพขั้นต้น โดยไม่ได้เน้นการ "ตัดต่อ" ให้มันผิดไปจากความเป็นจริงโดยสิ้นเชิงนะครับ การปรับแต่งหรือปรับปรุงข้อบกพร่องต่างๆ นั้น ทันทีที่เรากดชัตเตอร์ลงไป กล้องก็ทำให้เราอยู่แล้วโดยอัตโนมัติ ดังนั้นอย่าไปคิดมากเรื่องฝีมือไม่ฝีมือ เช่น ภาพมีมิติแบนๆ หน่อยเพราะกล้องก็จะให้ค่าที่กลางๆ ไม่รู้ว่าเราต้องการมากน้อยขนาดไหน การที่เรามาเพิ่มมิติของภาพให้มากขึ้นอีกสักเล็กน้อย ไม่ได้แปลว่าเราถ่ายภาพไม่เก่งแต่อย่างใด ตรงกันข้ามผมคิดว่า เป็นการแสดงว่าเราเก่งเสียด้วยซ้ำ เก่งที่สามารถรู้ว่า ทำอย่างไรจึงจะได้มิติภาพในแบบที่เราต้องการ ไม่ใช่ให้กล้องจัดให้แต่เพียงอย่างเดียว ประเด็นสำคัญที่อาจจะไม่ค่อยมีใครบอกก็คือ ภาพสวยๆ ที่เราเห็นกันหลายๆ ภาพนั้น มาจากภาพต้นฉบับที่ไม่ได้ดูสวยงามมากนักในตอนแรก
หรือบางกรณีเราใช้กล้องรุ่นเล็กๆ และเลนส์รุ่นธรรมดา ในขณะที่โปรอีกคนใช้กล้องและเลนส์ระดับมืออาชีพเพื่อให้ได้ภาพพื้นฐานที่ดีแล้ว ยังใช้โปรแกรมตกแต่งภาพปรับปรุงคุณภาพเพิ่มเข้าไปอีก แล้วอย่างนี้จะไปเหลืออะไร บางคนนั่งดูภาพของคนอื่นก็ได้แต่ชื่นชมว่าสวยอย่างนั้น สมบูรณ์อย่างนี้ แต่พอมาดูภาพตัวเองทำไมมันแตกต่างกันเหลือเกิน บางคนดูภาพคนอื่นแล้วพยายามดูว่า เขาใช้กล้องอะไร เลนส์อะไรถ่าย แล้วไปซื้อหามาใช้บ้าง ปรากฏว่าถ่ายไปกี่ภาพๆ ก็ได้ภาพที่สวยงามเทียบไม่ได้กับของเขาสักที ภาพบางภาพดูแตกต่างกันได้อย่างมาก เพียงแค่การปรับมิติ ปรับน้ำหนักสี หรือไม่ก็ปรับความเปรียบต่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรมากมายเลย
ภาพนี้จริงๆ แล้วถือเป็นภาพที่ถ่ายผิดพลาดเนื่องจากเป็นการถ่ายแบบไม่ได้วางแผนล่วงหน้า
สำหรับนักถ่ายภาพที่ไม่เคยทำการปรับแต่งภาพ อาจจะต้องทิ้งภาพนี้ไป
ทั้งๆ ที่เสียดายองค์ประกอบและเรื่องราวในภาพ แต่ถ้าคุ้นเคยกับการปรับแต่งภาพ
ก็สามารถปรับให้อยู่ในระดับใช้งานได้
ปัจจุบันนี้ แม้แต่ในการประกวดภาพเวทีใหญ่ๆ หลายเวทีทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ก็อนุญาตให้มีการปรับแต่งภาพได้ในระดับที่ "ไม่ผิดไปจากความเป็นจริง" ซึ่งบรรดามือโปรหรือมือประกวดระดับอาชีพ ก็ใช้โปรแกรมตกแต่งภาพที่ตัวเองถนัด ปรับปรุงคุณภาพกันทั้งนั้น จะมากจะน้อยอีกเรื่องหนึ่ง ผมค่อนข้างมั่นใจว่า ในเวทีประกวดที่ไม่ห้ามการปรับแต่งภาพ โอกาสที่ภาพประเภท "จบในกล้องร้อยเปอร์เซ็นต์" จะชนะนั้น มีน้อยยิ่งกว่าน้อย ช่างภาพฝีมือดีประเภทที่ต้องการแสดง "ฝีมือ" โดยส่งภาพจากกล้องเพียวๆ มีโอกาสสูงมากที่จะไม่ได้เป็นผู้ชนะ
บางครั้งการปรับแต่งภาพก็ต้องทำเพราะสถานการณ์บังคับ ภาพนี้ไม่มีทางเลือก
ต้องตัดส่วนเป็นภาพแบบ Panorama ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นภาพ Snapshot ธรรมดาๆ ไปในทันที
เนื่องจากองค์ประกอบหน้างานขณะถ่ายภาพไม่เหมาะสม
ดังนั้น สำหรับนักถ่ายภาพมือใหม่ที่ยังไม่ได้เริ่มต้นทดลองใช้งานโปรแกรมตกแต่งภาพ ไม่ว่าจะเป็นเพราะว่า ไม่รู้รายละเอียดมาก่อนว่า Post-processing มีความสำคัญและจำเป็นอย่างไร หรือว่าเป็นเพราะได้รับการปลูกฝังมาว่าต้อง "จบในกล้อง" จึงจะฝีมือจริงๆ ก็น่าจะลองเริ่มต้นใช้งานโปรแกรมพวกนี้ดูบ้าง ภาพของเราจะได้ดูดีขึ้นอย่างที่เราอยากจะเห็นจริงๆ หรือดูดีเหมือนกับภาพของคนที่เราเฝ้าสงสัยอยู่ทุกวันว่าเขาถ่ายอย่างไรจึงดูสวยเช่นนี้ ปัจจุบันนี้เวลาเราซื้อกล้อง (โดยเฉพาะกล้อง DSLR) ทุกยี่ห้อก็ต้องมีแถมโปรแกรมสำหรับการจัดการและปรับแต่งภาพเบื้องต้นมาให้ทั้งนั้น จะหมายความว่าอย่างไรถ้าไม่ได้หมายถึงการบอกว่า โปรแกรมตกแต่งภาพกับกล้องดิจิตอลนั้นเป็นของคู่กัน มาในแพคเกจเดียวกัน ต้องใช้งานร่วมกัน น่าแปลกที่หลายๆ คน ใช้หรือสนับสนุนให้ใช้พวก Picture Style ในกล้องแคนนอน หรือ Picture Control ในกล้องนิคอน ฯลฯ แต่กลับไม่ยอมรับการปรับแต่งเพิ่มเติมในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งสำหรับผมแล้วคิดว่า มันก็คือสิ่งเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการที่เรากระทำต่อภาพจากให้กล้องทำให้ มาเป็นเราทำด้วยตัวเองเท่านั้นในสมัยกล้องฟิล์ม ช่างล้างอัดภาพที่มีฝีมือหรือมีเทคนิคในการทำให้ภาพที่ออกมาแปลกแตกต่างไปจากภาพที่ถ่ายด้วยฟิล์มล้วนๆ จะได้รับการนับถือว่าเจ๋งจริง แม้แต่บรมครูระดับโลกด้านการถ่ายภาพคนหนึ่ง Ansel Adams ก็ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งเทคนิคการล้างอัดขยายภาพด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ว่าถ่ายจากฟิล์มมาอย่างไรก็อัดขยายไปอย่างนั้น ฟิล์มรุ่นเดียวกัน ด้วยเทคนิคในการล้างอัดขยาย ก็ได้ภาพสำเร็จรูปที่แตกต่างกัน คนอื่นจะมองอย่างไรไม่รู้ แต่สำหรับผม ถือว่าเป็นการปรับแต่งภาพประเภทหนึ่งเหมือนกัน เพียงแต่ในยุคนี้ที่ไม่มีฟิล์ม ไม่มีการล้างอัด แต่ใช้กล้องดิจิตอลแทน เราก็แค่เปลี่ยนเทคนิคและวิธีการเท่านั้น เป้าหมายยังเหมือนเดิม
นอกจากโปรแกรมตกแต่งภาพเบื้องต้นที่แถมมาตอนซื้อกล้อง ซึ่งส่วนใหญ่จะมีฟังก์ชั่นและคุณภาพที่อยู่ในระดับ "พอใช้" เท่านั้น แต่ถ้าต้องการโปรแกรมที่มีคุณภาพสูงขึ้น ทำงานได้ละเอียดขึ้นกว่าเดิม (และแน่นอนว่า แพงกว่าเดิมด้วย มากน้อยก็แล้วแต่คุณสมบัติที่ให้มา) ก็มีโปรแกรมตกแต่งภาพมากมายให้เลือกซื้อเลือกใช้ มีทั้งใช้งานง่ายๆ สำหรับมือใหม่ ไปจนถึงมีความสลับซับซ้อนแต่ให้คุณภาพระดับมืออาชีพ ก็ลองเลือกดูกันตามถนัด สำหรับผมเอง ใช้ประจำอยู่ 4 โปรแกรมคือ Lightroom, Photoshop, Perfect Photo Suite และ ACDSee ซึ่งที่จำเป็นจริงๆ แล้วก็มีเพียงสองโปรแกรมแรกเท่านั้นครับ เพียงเท่านี้ก็ครอบคลุมการใช้งานเกี่ยวกับการตกแต่งภาพได้ทุกรูปแบบ
ภาพที่ปรับแต่งเพื่อเลือกค่า White Balance ที่เหมาะสม
เนื่องจากสภาพแสงในขณะถ่ายภาพเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ
บางครั้งก็ทำให้ลืมปรับการตั้งค่าบางอย่างให้ถูกต้องแบบภาพต่อภาพ
ต้องอาศัยการ Process ภาพเข้าช่วยในภายหลัง
อย่างไรก็ตาม ในฐานะคนถ่ายภาพ ภาพที่สวยต้องมาจากการถ่ายของเราเป็นหลัก ไม่ว่าโปรแกรมตกแต่งภาพจะให้ภาพที่สวยงามเพียงใด แต่ถ้าการถ่ายภาพพื้นฐานของเรายังไม่ดีพอ ก็ย่อมไม่มีประโยชน์สำหรับการเป็นนักถ่ายภาพ จุดมุ่งหมายของบทความนี้ ไม่ได้ต้องการให้คุณนำภาพถ่ายที่แย่ๆ ถ่ายมาอย่างลวกๆ มาปรับปรุงให้ดูสวยงามด้วยโปรแกรม ทำนองว่าถ่ายสวย 20% ที่เหลือ 80% สวยด้วยการแต่ง ซึ่งไม่ใช่คำตอบและไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับผู้ที่ได้ชื่อว่า รักการถ่ายภาพ แต่ต้องการให้คุณนำภาพที่คุณถ่ายมาอย่างดีด้วยความพิถีพิถันและสวยงามในระดับหนึ่งแล้ว มาปรับปรุงเพื่อให้ดูสวยงามสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งแนะนำในกรณีที่คุณต้องใช้งานในเชิงพาณิชย์ การแสดง การแข่งขัน การเปรียบเทียบ การฝึกฝนการถ่ายภาพของคุณเอง แต่ถ้าคุณไม่ได้กังวลหรือสนใจที่จะทำ เพราะคิดว่าภาพของคุณนั้นสร้างความสุขและความพึงพอใจให้คุณมากพอแล้วในฐานะภาพถ่ายภาพหนึ่งไม่ว่ามันจะสวยเท่านี้หรือสวยขึ้นก็ตาม นั่นก็เป็นสิ่งที่ผมยินดีด้วยครับ
หมายเหตุ : ภาพประกอบก่อนการปรับแต่ง เป็นภาพต้นฉบับจากไฟล์ชนิด RAW ทั้งหมด
การ Process ภาพ ยังช่วยให้เราสามารถใส่ลูกเล่นหรือความต้องการส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ ลงไปในภาพได้ด้วย
เช่น เราคิดว่า ภาพดอกไม้ลักษณะนี้ น่าจะมีลักษณะนุ่มนวลฟุ้งกระจายเล็กน้อย
ก็สามารถเติมสิ่งที่ต้องการลงไปได้ทันที
บทความโดย สุระ นวลประดิษฐ์ www.stockphotothailand.com