การส่งภาพไปขายในไมโครสต็อกนอกจากตัวภาพที่มีคุณภาพตรงตามเกณฑ์ที่ไมโครสต็อกแต่ละแห่งกำหนดไว้แล้ว ข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ใน Metadata ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เช่นเดียวกัน ภาพจะดีสักแค่ไหน แต่ถ้าหากว่าขาดการจัดการใส่ข้อมูลภาพที่ดีแล้ว ภาพก็ประสบความสำเร็จได้ช้าลง ดังนั้นเรื่องนี้จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากครับ
Metadata
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เมทาดาตา หรือ เมทาเดตา (อังกฤษ: metadata) หมายถึงข้อมูลที่ใช้กำกับและอธิบายข้อมูลหลักหรือกลุ่มของข้อมูลอื่นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ บัตรในห้องสมุดสำหรับสืบค้นหนังสือโดยเก็บข้อมูลเกี่ยวกับชื่อหนังสือและตำแหน่งของหนังสือที่ต้องการหา ซึ่งหนังสือเป็นข้อมูลที่ต้องการ และบัตรเป็นข้อมูลที่อธิบายรายละเอียดของข้อมูลนั้น
แม้ว่าในการส่งภาพแต่ละภาพเราจะสามารถทำการใส่ข้อมูลต่างๆ ที่ไมโครสต็อกต้องการเช่น Title หรือชื่อภาพ, Description หรือคำอธิบายรายละเอียดภาพ, Keywords หรือ คำค้นที่ใช้สำหรับให้ลูกค้าค้นหาภาพ ได้เป็นรายภาพก็ตามแต่ระบบของไมโครสต็อกทุกแห่ง จะทำงานร่วมกับระบบข้อมูล Metadata มาตรฐานของภาพเมื่อช่างภาพส่งภาพใดภาพหนึ่งเข้าไป อันดับแรก ระบบของไมโครสต็อกจะเข้าไปอ่านข้อมูล Matadata ของภาพนั้นดูก่อนว่ามีการใส่มาด้วยหรือไม่ ถ้ามีก็จะทำการดึงมาใช้งานได้เลยโดยไม่ต้องให้ช่างภาพเสียเวลาในการใส่ข้อมูลต่างๆ เหล่านั้นเป็นรายภาพอีกครั้งหนึ่ง
โดยปกติแล้วเพื่อลดขั้นตอนการทำงาน ช่างภาพจะทำการใส่ข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ไว้ใน Metadata ของภาพทุกภาพเนื่องจากจะเป็นการทำงานครั้งเดียวแล้วใช้ได้ตลอดไป เช่น ช่างภาพมีภาพอยู่ 1 ภาพถ้าไม่มีการใส่ข้อมูล Metadata ที่จำเป็นต้องใช้เอาไว้ในภาพตั้งแต่ขั้นตอนการ Process เมื่อมีการส่งเข้าไปในไมโครสต็อกก็จะต้องไปใส่ในขั้นตอนการ Submit ขั้นสุดท้าย การทำเช่นนี้กับภาพที่ส่งไปยังไมโครสต็อกเพียงแห่งเดียว (เช่นช่างภาพที่เป็น Exclusive ของไมโครสต็อกแห่งใดแห่งหนึ่ง เป็นต้น) อาจจะไม่มีปัญหาหรือไม่เสียเวลามากนัก แต่ช่างภาพสต็อกส่วนใหญ่มักจะส่งภาพภาพเดียวกัน ไปยังไมโครสต็อกหลายแห่ง ก็เท่ากับว่า ถ้าไม่มีข้อมูล Metadata ที่จำเป็นอยู่ในภาพก็จะต้องคอยไปทำตามขั้นตอนเดิมๆ ซ้ำๆ กันทุกแห่งและทุกภาพ ซึ่งในภาคปฎิบัติจริงจะเป็นการสิ้นเปลืองเวลาและพลังงานอย่างมหาศาล นอกจากนี้ ไมโครสต็อกบางแห่งถ้าช่างภาพได้ทำการใส่ข้อมูลที่จำเป็นเหล่านี้เอาไว้ในภาพเรียบร้อยแล้วภาพที่ส่งไป ก็จะถูกนำไปเข้าคิวรอตรวจเลยโดยที่ไม่ต้องทำขั้นตอนอะไรเพิ่มเติมเลยก็มีดังนั้น ข้อมูล Metadata ที่จำเป็นบางอย่างจึงต้องจัดการให้เรียบร้อยตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมหรือการ Process ภาพครั้งแรกสุด
ตัวอย่างการอ่าน Metadata จากภาพโดยอัตโนมัติในขั้นตอนการ Submit ของ Dreamstime
โปรดสังเกตว่าผมใช้คำว่า ข้อมูล Metadata ที่จำเป็น ซึ่งหมายความว่ามีข้อมูล Metadata ที่ไม่จำเป็นด้วยอย่างนั้นใช่หรือไม่ ตอบว่า ใช่แล้วครับ Metadata มีมากมายหลายหัวข้อโปรแกรมจัดการภาพแต่ละโปรแกรมก็มีให้ใส่มากน้อยแตกต่างกัน สำหรับภาพสต็อก หรือ Stock Photography เราไม่จำเป็นต้องป้อนข้อมูลลงไปใน Metadata ทุกๆ ช่องแต่ถ้าใครขยันหรือมีเวลามากพอ จะใส่ไปให้ครบทุกอย่างก็ได้ ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใดข้อมูลใดที่ไมโครสต็อกแห่งใดไม่ได้ต้องการใช้ หรือไม่ได้ต้องการเปิดเผยไมโครสต็อกนั้นก็จะมีระบบลบออกหรือไม่นำออกแสดงในภาพที่ขายอยู่หน้าเว็บเองครับไม่ต้องกังวล
Metadata ของภาพถ่ายดิจิทัล
เมทาดาตาของภาพถ่ายดิจิทัล ถูกเก็บไว้ในลักษณะที่เรียกว่าEXIF โดยข้อมูลของภาพถ่ายแต่ละภาพก็คือภาพของภาพนั้นโดยเมทาดาตาจะเป็นรายละเอียดที่เก็บไว้ในภาพถ่ายดิจิทัลนั้นที่ไม่แสดงผลโดยตรง เช่น วันและเวลาที่ถ่ายภาพ การตั้งค่าของกล้อง เช่น รูรับแสงความยาวโฟกัส หรือตำแหน่งสถานที่ (Geolocation) ในกรณีที่กล้องมีระบบจีพีเอส (GPS) เชื่อมต่อ : วิกิพีเดีย
แล้วข้อมูล Metadata ที่จำเป็นที่ว่านั้น มันคืออะไรบ้าง ก็จะมีอยู่ 3 อย่างเท่านั้นที่ไมโครสต็อกทุกแห่งต้องการใช้ แม้ว่าบางแห่งจะใช้อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนี้บางแห่งใช้อย่างนี้ ไม่ใช้อย่างนั้น แต่การใส่ข้อมูล Metadata ลงไปในภาพทุกภาพของเราให้ครบ 3 อย่างต่อไปนี้เราก็จะสามารถนำภาพนั้นไปส่งให้กับไมโครสต็อกทุกแห่งได้โดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาใส่เพิ่มภายหลังโดยในการใส่ข้อมูลที่จำเป็นตามที่ว่านั้น ก็จะมีรายละเอียดดังนี้ครับ
1. Title หรือ ชื่อภาพ
เป็นข้อมูล Metadata ที่จำเป็น ซึ่งใส่ง่ายที่สุดในบรรดา 3 อย่างนี้เนื่องจากไมโครสต็อกทุกแห่ง จะไม่ได้กำหนดความยาวหรือจำนวนคำหรือประโยคใน Title ในกรณีที่เราไม่ชำนาญการคิดคำหรือคิดประโยคภาษาอังกฤษจริงๆ เราสามารถใส่คำศัพท์อะไรก็ได้ที่มีความหมายตรงกับสิ่งที่ปรากฏอยู่ในภาพเพียงสั้นๆ ก็ได้ ไมโครสต็อกบางแห่งเช่น Dreamtime จำกัดความยาวของ Title เอาไว้ที่ไม่เกิน 40 ตัวอักษร บางแห่งก็ไม่จำกัด ดังนั้นสำหรับ Title นี้ เราสามารถใช้คำได้ตั้งแต่ 1 คำไปจนถึงหลายๆ คำ แต่ไม่เกิน 40 ตัวอักษร เพื่อไม่ให้เกินเกณฑ์ของ Dreamstime ในทางปฏิบัติ ควรใช้สัก 3-7 คำก็เพียงพอเนื่องจากหากว่าสั้นเกินไป ก็จะเสียประโยชน์สำหรับไมโครสต็อกบางแห่ง ซึ่งกำหนดให้ Title มีผลต่อการค้นหาภาพเมื่อลูกค้าใส่คำค้นด้วยหากช่างภาพมีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษพอจะใส่ประโยคที่มีรายละเอียดเพิ่มเติมได้ก็ควรใส่ลงไป จะมีประโยชน์เพิ่มขึ้นครับ
2. Description หรือ คำอธิบายภาพ
การใส่คำอธิบายภาพมีรายละเอียดมากขึ้นกว่าการใส่ Title เนื่องจากมีไมโครสต็อกบางแห่ง กำหนดจำนวนคำขั้นต่ำสำหรับข้อมูลนี้เอาไว้ด้วยเช่น Dreamstime กำหนดว่า ต้องมีอย่างน้อย 5 คำขึ้นไป ส่วน Bigstockphoto กำหนดไว้ที่ 7 คำหรือมากกว่า ดังนั้น เพื่อให้มั่นใจว่า ภาพของเราสามารถส่งไปขายในไมโครสต็อกได้ทุกแห่งโดยไม่ต้องเสียเวลามาแก้ไขหรือใส่ในขั้นตอนการ Submit เป็นรายภาพ ภาพทุกภาพของเรา จึงควรใส่ Description อย่างน้อย 7 คำทุกภาพ
ช่างภาพบางคนอาจจะคิดว่าจะขายภาพในไมโครสต็อกเพียงสองสามแห่งหลักๆ เท่านั้น ซึ่งไม่บังคับจำนวน Description ขั้นต่ำ ดังนั้นใส่เพียงสามสี่คำก็พอ แต่สำหรับแนวคิดหรือคำแนะนำจากผม คิดว่าควรจะใส่ให้ครบ 7 คำขั้นต่ำเอาไว้ดีกว่า เป็นการเตรียมการณ์เผื่อไว้สำหรับอนาคต ธุรกิจไมโครสต็อกก็เหมือนธุรกิจทั่วไปและตัวเราบรรดาช่างภาพเอง ก็เหมือนคนทำธุรกิจทั่วไป สภาพการณ์ทางการตลาดและกลยุทธ์มีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาในส่วนของไมโครสต็อกนั้น ก็มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทั้งการเจริญเติบโตและการถดถอย ไมโครสต็อกอันดับท้ายๆ ในวันนี้ เราไม่รู้ว่าพวกเขาจะพลิกสถานการณ์ขึ้นมาอยู่แถวหน้าของตลาดเมื่อไร ไมโครสต็อกชั้นนำในวันนี้อีกไม่ช้าก็อาจจะถูกเบียดไปอยู่กลางๆ ตาราง หรือเลิก หรือถูกควบรวมกิจการไปเมื่อใด ในส่วนของตัวช่างภาพเอง เราก็ไม่รู้ว่าต่อไปข้างหน้า เราเกิดนึกจะเปลี่ยนกลยุทธ์จากการขายภาพเฉพาะไมโครสต็อกหลักๆ ที่ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ มาเป็นการเพิ่มช่องทางการขายไปสู่ไมโครสต็อกเล็กๆ เป็นการเก็บเล็กผสมน้อยไม่ให้เสียโอกาส หรือไม่ก็วันนี้เราอาจจะเป็นเพียงช่างภาพสต็อกมือสมัครเล่น ขายภาพเป็นงานเสริมสนุกๆ แต่ทำไปๆ เราอาจจะพัฒนาตัวเองไปถึงขั้นมืออาชีพ หรือสบช่องในการทำเต็มเวลาหรือมีคนช่วยส่งภาพจัดการภาพเพิ่มขึ้นมาในอนาคนอันไม่ไกล ทีนี้เราก็ย่อมจะเริ่มมองหาช่องทางใหม่ๆ เพิ่มเติมในการขายภาพอันมากมายของเรา การย้อนกลับมาแก้ไขข้อมูลภาพอาจจะเสียเวลามากโดยเฉพาะถ้าภาพพร้อมขายของเรา มีเพิ่มขึ้นเป็นหลักพัน หรือหลาย ๆ พันภาพหรือยิ่งกว่านั้น มีเป็นหมื่นๆ ภาพ การต้องมาไล่แก้ Metadata กันทุกๆ ภาพย่อมไม่ใช่เรื่องสนุกแน่ๆ ยิ่งการคอยไปใส่ข้อมูลภาพแต่ละภาพในขั้นตอนการ Submit ขั้นสุดท้ายในไมโครสต็อกนั้น ยิ่งเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสเข้าไปใหญ่อย่างแน่นอน
Description หรือคำอธิบายภาพ มีความแตกต่างกับ Title อยู่พอสมควรคำอธิบายจะต้องมีลักษณะเป็น “ประโยค” ตามมาตฐานของประโยคภาษาอังกฤษทั่วไปบรรยายลักษณะของสิ่งที่ปรากฏอยู่ในภาพให้เข้าใจเพิ่มเติมได้ชัดเจน เช่นวัตถุสิ่งนั้นคืออะไร, ลักษณะการถ่ายเป็นอย่างไร, ใคร ทำอะไร ที่ไหน เป็นต้น การใส่คำอธิบายภาพ สำหรับคนที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษก็สามารถนำคำประเภท A หรือ The เป็นต้นมาใส่ผสมลงไปได้ นับเป็น 1 คำเหมือนกัน เช่น A cat ก็นับเป็น 2 คำ The morning ก็นับเป็น 2 คำเป็นต้น ไวยากรณ์ที่ใช้ในประโยคนั้นถ้าใช้อย่างถูกต้องตามหลักการไวยากรณ์อังกฤษได้ก็จะดีมาก แต่ในทางปฏิบัติทั้งผู้ตรวจภาพและลูกค้าของไมโครสต็อกเอง ก็ทราบดีว่า ธุรกิจขายภาพออนไลน์เป็นธุรกิจที่ประกอบด้วยช่างภาพจากทั่วโลก มากมายหลายเชื้อชาติมีทั้งที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก และไม่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ดังนั้นภาษาอังกฤษที่ใช้ จะผิดไวยากรณ์ไปบ้าง ดูเป็นประโยคที่ไม่สมบูรณ์ไปบ้างก็ไม่ถือเป็นเหตุผลสำคัญในการรับหรือปฏิเสธภาพแต่อย่างใด ข้อสำคัญก็คือคำศัพท์แต่ละคำ จะต้องใส่ให้ถูกต้องตรงตามศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาภาพเพื่อที่จะอ่านแล้วไม่แปลหรือตีความหมายผิดไปเป็นอย่างอื่น ไมโครสต็อกบางแห่ง เช่น Freedigitalphotos.net มีบริการแก้ไขคำศัพท์หรือไวยากรณ์สำหรับภาพที่ผ่านการ Approved ให้ด้วย แต่ไมโครสต็อกส่วนใหญ่ ถ้าคุณภาพของไฟล์และคีย์เวิร์ดสมบูรณ์ก็มักจะปล่อยคำอธิบายภาพไว้ตามที่ช่างภาพได้ใส่ไปแม้ว่าจะไม่ถูกไวยากรณ์อย่างสมบูรณ์ก็ตาม
Title กับ Description จะต้องไม่ใช้คำชุดเดียวกันทั้งหมดเพราะระบบของไมโครสต็อกบางแห่งจะไม่ยอมรับ เช่นของ Dreamstime เป็นต้นจะต้องให้มีความแตกต่างกันอย่างน้อย 1 ตัวอักษร หรือ 1 คำ จึงจะทำการ Submit ได้ ควรระวังในข้อนี้ด้วยครับ บางคนสงสัยว่าคลิก Submit เท่าใดไม่ผ่านสักทีอาจจะเกิดจากการใส่สองอย่างนี้ด้วยคำหรือประโยคเหมือน ๆ กันนะครับ
เคล็ดไม่ลับอีกอย่างหนึ่งในการใส่คำอธิบายภาพก็คือ ไมโครสต็อกบางแห่ง ให้ความสำคัญกับคำในช่องคำอธิบายภาพและชื่อภาพเมื่อมีการค้นหาภาพด้วยนะครับ คือค้นคำทั้งในคีย์เวิร์ด และมาค้นในคำอธิบายภาพหรือชื่อภาพด้วย ดังนั้น เพื่อให้เราได้ประโยชน์จากการค้นหาในลักษณะนี้ ให้เราพยายามเขียนคำอธิบายภาพและชื่อภาพ โดยการเอาคีย์เวิร์ดหลักๆ ของภาพนั้นๆ มาใช้ เพื่อให้โปรแกรมค้นหา ได้เห็นคำหลักซ้ำอย่างน้อย 2 จุด ซึ่งจะเป็นการบอกกับ Bot ของโปรแกรมค้นหาว่า การที่เรามีคำค้นคำนั้นอยู่สองจุด อนุมานได้ว่า ภาพของเราเกี่ยวข้องอย่างมาก หรือมีเนื้อหาตรง มีเนื้อหาเน้นคีย์เวิร์ดคำนั้น ซึ่งอันนี้เป็นเคล็ดลับที่บรรดามืออาชีพเขาใช้กันอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม อย่าเด็ดขาดที่จะพยายามใส่คีย์เวิร์ดหลักของภาพเราลงไปในชื่อภาพหรือคำอธิบายภาพในลักษณะเป็นคำๆ เหมือนกับที่ใส่ไว้ในชุดคีย์เวิร์ด ให้ใส่เฉพาะเป็นประโยคเพื่ออธิบายภาพเท่านั้น ประโยคจะผิดบ้างถูกบ้าง ไวยากรณ์จะผิดบ้างถูกบ้างก็ไม่เป็นไร อย่าจงใจใส่แบบที่ว่าพอเห็นแล้วรู้ได้เลยว่าเจตนาใส่เป็นคำๆ เพื่อโกงระบบให้เข้าใจผิดเรื่องการแสดงผล ถ้าทำแบบนี้ ส่วนใหญ่จะไม่ผ่านตั้งแต่ขั้นตอนการตรวจ หรือว่าจังหวะดีๆ อาจจะหลุดรอดสายตาคนตรวจไปได้บ้างในขั้นตอนการส่งตรวจ แล้วเขาไปขาย แต่ไม่ช้าไม่นานมีการตรวจพบ หรือลูกค้าร้องเรียนเข้าไปว่าเราอธิบายภาพแบบเจตนาโกง อาจจะโดนข้อหาทำ Spam Title ได้ครับ อาจจะโดนลบภาพ หรือหนักๆ อาจจะถึงขั้นปิดแอคเคาท์ได้ครับ
3. Keywords หรือ คำค้น
สำหรับข้อมูล Metadata ที่จำเป็นหัวข้อนี้คงไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมมากนักเพราะเป็นสิ่งที่ช่างภาพสต็อกทุกคนจะต้องฝึกการหาคำ การใส่คำให้ชำนาญอยู่แล้วประเด็นสำคัญหลัก ๆ สำหรับการใส่คีย์เวิร์ดก็คือ จะต้องใส่ให้ภาพแต่ละภาพ ไม่น้อยกว่า 7 คำ และไม่เกิน 50 คำ เนื่องจากว่า ไมโครสต็อกบางแห่ง รับเฉพาะภาพที่มีคีย์เวิร์ด 7 คำหรือมากกว่า ส่วนไมโครสต็อกบางแห่ง (เช่น Shutterstock ไมโครสต็อกอันดับหนึ่งของโลก) ต้องการคีย์เวิร์ดหรือคำค้นนี้ไม่เกิน 50 คำ ดังนั้นคีย์เวิร์ด 7-50 คำที่อยู่ในภาพ จึงสามารถนำไปส่งขายที่ไมโครสต็อกแห่งใดก็ได้
มาถึงคำถามต่อไปสำหรับช่างภาพสต็อกมือใหม่ ช่างภาพสต็อกที่ส่งภาพขายออนไลน์เป็นประจำอยู่แล้วคงไม่มีปัญหาในการใส่ข้อมูล Metadata ที่จำเป็นเหล่านี้แต่สำหรับช่างภาพหรือนักถ่ายภาพที่เพิ่งจะเริ่มสนใจการขายภาพออนไลน์ อาจจะมีบางท่านสงสัยว่าเขาใส่ข้อมูลเหล่านี้กันอย่างไร วิธีการใส่ Metadata เหล่านี้ สามารถใช้โปรแกรมจัดการหรือตกแต่งภาพต่างๆ หลาย ๆ โปรแกรมใส่ได้ตามความถนัดของแต่ละคน ในที่นี้ผมจะยกตัวอย่างเฉพาะการใส่ด้วยโปรแกรมที่ผมถนัดและใช้งานมากที่สุดคือโปรแกรม Lightroom ครับ
การใส่ Metadata ที่จำเป็น ด้วยโปรแกรม Lightroom
จะมีอยู่สองประเภทหลักๆ คือ การใส่ Metadata ทีละภาพ กับการใส่แบบเป็นชุดหลาย ๆ ภาพพร้อมกัน ในการใส่ทีละภาพนั้นจะต้องใส่ดังนี้ครับ
เปิดภาพที่จะใส่ Metadata เลือก Mode การทำงานเป็น Library (ถ้าเลือก Mode อื่น ๆจะใส่ข้อมูลนี้ไม่ได้)
ช่องสำหรับใส่ Title กับ Description จะอยู่ติดกัน ข้อสังเกตก็คือ ในโปรแกรม Lightroom จะไม่ใช้คำว่า Description แต่จะใช้คำว่า Caption แทน ซึ่งจะเป็นสิ่งเดียวกันครับใส่คำอธิบายภาพในช่องนี้ได้เลย
ส่วน Keywords หรือคำค้นที่ใช้สำหรับการค้นหาภาพนั้น จะอยู่ในช่องใต้คำว่า Keywording เราจะพิมพ์ใส่ทีละคำหรือว่าจะ Copy มาจากที่อื่นแล้ว Paste ลงไปในช่องนี้ก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด
ส่วนช่องอื่นๆ นั้น ใครจะใส่อะไรเพิ่มเติมก็ตามถนัดและต้องการได้เลยครับ ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
สำหรับการใส่ Metadata ให้กับภาพชุดที่มีเนื้อหาเดียวกันต้องการข้อมูลภาพเหมือน ๆ กันครั้งละ 2 ภาพหรือมากกว่า ก็ทำดังนี้ครับ เลือก Mode การทำงานเป็น Library เหมือนเดิม จากนั้นคลิกเลือกภาพชุดที่ต้องการใส่ข้อมูล เหมือนกับการเลือกภาพหรือไฟล์หลาย ๆไฟล์ในโปรแกรมทั่วไป
เมื่อได้ภาพชุดที่ต้องการครบแล้วก็คลิกที่ Sync (ตามลูกศรชี้ในภาพ) ก็จะปรากฏหน้าต่างขาว ๆ ขึ้นมา ช่องที่เราจำเป็นต้องใส่ก็จะอยู่ตามที่ล้อมกรอบไว้ในภาพครับ จากนั้นก็คลิกที่ Synchronize ก็เป็นอันว่าเรียบร้อยสำหรับการใน Metadata ที่จำเป็นส่วนช่องอื่น ๆ ที่เหลือ ลองคลิกดูได้ ถ้าอยากใส่อะไรก็ใส่ไปตามใจชอบอะไรที่ไมโครสต็อกแห่งใดไม่ต้องการ พวกเขาก็ตัดออกเอง แต่สามอย่างนี้ ต้องใส่ให้ครบเสมอ ได้ใช้แน่นอนครับ