shutterstock 519078439

บทความโดย พล ศิรพล (Papacool Siricharattakul)

          มีเพื่อนๆ สมาชิกหลายๆ ท่านถามกันเข้ามาว่า ผมมีวิธีการอย่างไรให้ประสบความสำเร็จในเส้นทางนักขายภาพ วันนี้ผมเลยขอรวบรวมเอาประสบการณ์ที่ตนเองมี และคิดว่าคงมีประโยชน์ต่อนักขายภาพมือใหม่และผู้ที่ขายอยู่แล้ว ไม่มากก็น้อย แต่ต้องบอกก่อนว่า บทความนี้ไม่ได้บอกเล่าถึงเทคนิคการถ่ายภาพ ไม่ได้บอกเล่าถึงเทคนิคการขาย และไม่ได้บอกเทคนิคอะไรเกี่ยวกับภาพถ่ายเลย แต่สิ่งที่ผมหวังให้ทุกๆ ท่านได้รับจากบทความนี้คือ “กำลังใจ” นั้นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ฉะนั้นขอให้เลือกนำแต่สิ่งดีๆ และข้อคิดที่ได้จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมครั้งนี้ ไปปรับให้เข้ากับวิถีการทำงานและ Lifestyle ของตัวเองจะดีที่สุด


sell photo online

 

 

3 องค์ประกอบที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในเส้นทางนักขายภาพออนไลน์

  1. เป้าหมาย

          ถ้าคุณเป็นคนชอบอ่านหนังสือสไตล์ How to, Know how หรือหนังสือสอนแนวคิดต่างๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำทุกๆสิ่งให้ประสบความสำเร็จ คือ คุณต้องตั้ง “เป้าหมาย”  บางคนถามว่า เป้าหมายตั้งอย่างไร ??

 

 

วิธีการตั้งเป้าหมายให้ได้ผลชัดเจนก็คือ

  • การตั้งเป้าหมายต้องไม่ยากจนเราไม่สามารถทำได้ และไม่ง่ายจนเราไม่ได้ใช้ความสามารถที่เรามีอยู่เลย
  • กำหนดระยะเวลาของเป้าหมายที่ชัดเจนยกตัวอย่างเช่น ใน 1 เดือน “ฉันจะส่งภาพให้ผ่านเป็นจำนวน xxx” ใน 6 เดือนจะทำอะไร ใน 1 ปี จะทำอะไร ใน 3 ปี  ใน 5 ปี กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนของเป้าหมาย
  • เมื่อตั้งเป้าหมายและกำหนดระยะเวลาเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนนี้เป็นความลับที่สำคัญที่สุด ในการที่จะประสบความสำเร็จดั่งเป้าหมายที่ตั้งไว้ “อย่ายอมแพ้“ ระยะทางที่เราจะประสบความสำเร็จเราจะเจออุปสรรคก่อนเสมอ เมื่อเราเจอมัน แสดงว่าเราเริ่มมาถูกทางแล้ว

 

       2. คิดบวก

          จากประสบการณ์ของตนเองที่ผ่านมา มีเรื่องราวที่น่าตกใจในชีวิตมามากมายหลายครั้ง เช่น บ้านล้มละลายตอนเด็ก ต้องใช้ชีวิตอยู่ลำพังในเมืองกรุงที่เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยุมากมาย ด้วยวัยเพียงแค่ 14 หลังจากนั้นก็ล้มละลายอีกครั้งในตอนที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังตอนปี 2  และเรื่องราวที่น่าตกใจอีกมากมายในชีวิตหากเล่า ก็คงจะยาวไปสักหน่อย ฉะนั้นการที่เราดำรงชีวิตอยู่  “คิดบวก” จึงสำคัญ

 

 

วิธีการคิดบวกให้ได้ผลชัดเจนก็คือ

  • การคิดบวกไม่ใช่การคิดหลอกตัวเอง การคิดบวกคือการยอมรับความจริงในสิ่งที่เป็น และมองหาเรื่องราวดีๆ หรือข้อคิดดีๆที่ซ่อนอยู่ในนั้น เช่น บ้านผมล้มละลาย หากเราคิดบวกและมองหาข้อคิดดีๆ จากเรื่องนี้นั้นคือ การสอนให้รู้จักการช่วยเหลือตัวเอง การประหยัดอดออม การรู้จักหารู้จักใช้ รู้ว่าใครคือเพื่อนแท้ที่คอยอยู่เคียงข้างเรา
  • การคิดบวกต้องหมั่นฝึกฝนจนกลายเป็นความเคยชินที่ฝังติดตัวเราจนเป็นนิสัย และในที่สุดเป็นเสมือนหนึ่งตัวเราเอง ข้อนี้ทำไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย บางครั้งผมเองก็มีเผลอเรอไปบ้าง แต่อยู่ในวิสัยที่ควบคุมได้ เช่นในหนึ่งวันเราต้องทำกิจกรรมมากมาย บางครั้งรถติด ถ้าเราคิดบวกว่ารถเราติด รถคนอื่นบนถนนก็ติดมีคนติดเป็นเพื่อนกัน เต็มถนนไปหมด ไม่ได้ติดคนเดียวซะหน่อย หรือในบางครั้งการที่รถติด ทำให้ผมเจอร้านอาหารแปลกๆ ที่ผมไม่เคยกิน ไม่แน่ว่าร้านนั้นอาจจะเป็นร้านโปรดของคุณในคราวต่อๆ ไปก็ได้ หลังจากนั้นก็ยิ้มกว้างๆ ให้กับมัน เพียงแค่นี้ทั้งร่ายกายและจิตใจเราก็จะอิ่มเอิบไปกับการคิดบวกของตัวเราเอง ความสุขก็จะเกิดขึ้นทันที
  • การคิดบวกต้องไม่เปรียบเทียบตนเองกับใคร เพราะการเปรียบเทียบตนเองกับใครหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เหมือนเป็นการใช้ใจเราเป็นเครื่องชี้วัดสิ่งๆ นั้นว่าเป็นอย่างไร ฉะนั้นให้เราเปรียบเทียบตนเองอยู่เสมอว่า ในทุกๆวัน เราได้ทำสิ่งดีที่มีประโยชน์แก่ตนเองแล้วหรือยัง เราพัฒนาตนเองจากเมื่อวานขึ้นมามากน้อยน้อยแค่ไหน ยกตัวอย่างการขายภาพ บางคนเอาตนเองไปเปรียบกับคนที่ขายภาพมานานแล้ว   “ทำไมเขาขายได้เยอะ ทำไมเราได้น้อย แล้วก็คิดไปต่างๆ นาๆ หรือเราไม่เก่ง หรือเรามาช้าไป"  หรืออะไรต่อมิอะไรมากมายสุดแท้แล้วแต่จิตของคน

          การเปรียบเทียบตนเองกับตนเองนั้น จะทำให้เราไม่ต้องใช้ “ใจ” ที่เป็นเครื่องชี้วัดที่ไม่ได้มาตรฐานมาวัดค่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ หากเราจะคิดบวกในเรื่องนี้ ให้เรามองว่า การที่เขาขายได้เยอะ ขายดี เป็นเพราะความมุมานะ ตั้งใจ อุตสาหะที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค ฉะนั้นถ้าอยากเราประสบความสำเร็จ เราต้องตั้งใจแบบเขาผู้นั้น

 

 

           3. มิตรภาพ

          “อันมิตรแท้ว่าดีเป็นที่พึ่ง” ในทุกๆ ครั้งที่เราก้าวเข้าไปเป็นน้องใหม่ในที่ทำงาน เราก็มักที่จะทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ เรามักมองหาคนที่มีนิสัยใกล้เคียงกัน คุยกันถูกคอ ตามแต่ความพึงพอใจของคนแต่โดยความเป็นจริงแล้ว มีกฎอยู่ข้อหนึ่งชื่อว่า “กฎของแรงดึงดูด” กฎของแรงดึงดูดเป็นกฎธรรมชาติของการดึงดูดสิ่งที่มีลักษณะคล้ายกันเข้าหากัน เปรียบเทียบคือหากเราเป็นคนดีคนเก่งแต่ไปอยู่ในหมู่คนพาลคนโง่นานวันเข้า เราเองจะกลายเป็นหัวหน้ากลุ่มคนพาลคนโง่โดยทันที เฉกเช่นเดียวกัน หากเราเป็นคนพาลคนโง่ แต่เราดันไปอยู่ในกลุ่มคนเก่งคนดี นานวันเข้าเราเองจะพัฒนาตนเองขึ้นมาอย่างน่าตกใจ

          สรุปก็คือ ในการทำงานหรือในการใช้ชีวิต คุณจำเป็นต้องเลือกที่คบเพื่อนดี มิตรดีแต่ไม่ได้หมายความว่าให้คุณตัดเพื่อน หรือ ตัดคนไม่ดีออกจากชีวิต เพียงแต่ให้คุณเลือกที่จะรับและเรียนรู้สิ่งดีๆจากคนไม่ดี โดยนำหลักการคิดบวกมาใช้ เพราะในความเป็นจริงคนดีจะช่วยกันส่งเสริมในการทำสิ่งดีๆ และคนไม่ดีก็จะชวนกันทำในสิ่งที่เป็นโทษเสียเป็นส่วนใหญ่ และถ้าหากคุณเจอคนดีๆ และมิตรภาพเหล่านั้นแล้ว จงรักษามิตรภาพและความทรงจำดีๆ ไว้ เพราะมิตรแท้จะช่วยพาคุณประสบความสำเร็จได้อย่างมีความสุขกว่า และง่ายดายกว่าที่คุณฝัน

          สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณอาจารย์สุระ,พี่เอ๋อ้อย, พี่ๆ เพื่อนๆ สมาชิก ที่คอยให้ส่งเสริมและให้ความช่วยเหลือผมตลอดมา และขอขอบคุณภาพประกอบบทความจากผู้ใหญ่ใจดี พี่เอก, พี่คริส, พี่ขุนพล, พี่เพทายและชาวแก๊ง noob เชียงใหม่

             หวังว่าบทความนี้ คงมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย กับทุกๆ ท่านนะครับ