ตามปกติแล้วในการถ่ายภาพทั่ว ๆ ไปชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การถ่ายภาพโดยใช้ฟิล์มในยุคก่อนหน้านี้ เรามักจะต้องดูภาพกันตามสัดส่วนเดิม ๆ ที่ถูกกำหนดมาโดยขนาดของฟิล์มและขนาดของกระดาษอัดภาพ การ Crop หรือตัดส่วนภาพภายหลังการถ่าย มักจะทำกันเฉพาะในระดับมืออาชีพเท่านั้นไม่ว่าจะในเชิงศิลปะหรือเชิงพาณิชย์ เนื่องจากมีความยุ่งยากในขั้นตอนการทำอยู่พอสมควร ดังนั้น ส่วนใหญ่แล้วเราจึงได้ดูภาพที่มีสัดส่วนซ้ำ ๆ เดิม ๆ กันอยู่เป็นปกติ
ในยุคปัจจุบันนี้ การตัดส่วนภาพจากไฟล์ดิจิตอลสามารถทำได้ง่ายมาก มือสมัครเล่นทั่วๆ ไปก็สามารถทำการตัดส่วนภาพออกมาในอัตราส่วนต่าง ๆ ตามต้องการได้ง่าย ๆ ภาพสต็อกก็เช่นกัน ภาพประเภทนี้คือภาพที่ใช้ประกอบการออกแบบหรือสร้างชิ้นงานอื่น ๆ วิธีการตัดส่วนภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่จะตอบสนองจินตนาการของช่างภาพผู้สร้างงานได้กว้างไกลมากขึ้น และทำให้ภาพสามารถถูกนำไปใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ที่ผู้ใช้งานต้องการได้กว้างขวางขึ้น อย่างไรก็ตาม การตัดส่วนภาพในความหมายของบทความนี้ ไม่ได้หมายถึงการนำภาพที่ถ่ายเสร็จแล้วมาทำการตัดหรือ Crop ด้วยโปรแกรมเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงการ “ตัดส่วน” เอาเฉพาะที่ต้องการ หรือเอาที่ไม่ต้องการออกไปตั้งแต่ขั้นตอนการถ่ายภาพ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในทักษะการถ่ายภาพที่สำคัญอย่างยิ่งของนักถ่ายภาพระดับก้าวหน้า มีนักถ่ายภาพบางสำนักหรือบางกลุ่มเรียกการถ่ายแบบนี้ว่า “ถ่ายเจาะ” ก็มี แต่ในที่นี้ผมจะขอเรียกรวม ๆ กันว่า Crop หรือ ตัดส่วน เท่านั้นนะครับ แต่ความหมายก็ขอให้ถือว่าเป็นอย่างเดียวกัน
ในการสร้างสรรค์ภาพสต็อก คุณถ่ายภาพอะไร ลูกค้าที่ดูภาพจะเข้าใจสิ่งที่คุณต้องการสื่อสารได้อย่างไร และการตัดส่วนภาพจะทำให้การสื่อสารที่ว่านั้นชัดเจนขึ้นได้หรือไม่ นี่คือคำถามที่ต้องตอบตัวเองให้ได้ ทั้งในการกระบวนการถ่ายภาพและจัดการภาพภายหลังการถ่าย (Post Processing)
ภาพที่ถูกใช้ในฐานะ “วัตถุดิบ”
ภาพประเภทนี้ เรามักจะปล่อยให้หน้าที่การตัดส่วนภาพ เป็นของผู้ใช้งานเอง ปล่อยวัตถุและเนื้อหาในภาพทั้งหมด รวมทั้งอัตราส่วนภาพดั้งเดิมไว้ตามที่มันเป็น เรามีหน้าที่ถ่ายภาพให้คมชัดและปราศจากสิ่งรบกวนคุณภาพของภาพ เช่น ฝุ่นละออง ขอบม่วง สีเหลื่อม รูปทรงบิดเบี้ยวผิดส่วน ฯลฯ ก็พอ ถ้าคุณถ่ายภาพสต็อกประเภทที่ยกตัวอย่างภาพมา เช่น เหรียญวัตถุมงคล ต้นไม้ ทุเรียน หรือเค้กสักก้อนในลักษณะนี้ การปล่อยวัตถุไว้เต็ม ๆ โดยไม่มีการตัดส่วน จะเป็นเหมือนการมี Option หรือทางเลือกในการใช้งานภาพนั้นให้หลากหลายขึ้น ลูกค้าหรือผู้ที่ต้องการใช้งานภาพมักจะค้นหาภาพประเภทนี้ไปใช้งานในฐานะ “วัตถุดิบ” แบบเพียวๆ ในกรณีที่พวกเขามีรายละเอียดขององค์ประกอบต่าง ๆ อย่างชัดเจนอยู่ในหัวแล้วว่าต้องการภาพอะไรบ้างไปวางให้ครบถ้วนตามที่คิดหรือวางแผนไว้ ทักษะสำคัญที่ช่างภาพสต็อกต้องมีก็คือ การพิจารณาว่า ภาพประเภทใดหรือวัตถุชนิดใดจัดอยู่ในกลุ่มนี้
ภาพที่จำเป็นต้อง Crop หรือตัดส่วนเพื่อการใช้งานที่ง่ายขึ้น
ในบางกรณี ลูกค้าก็ต้องการภาพที่ช่างภาพทำการตัดส่วนไปให้เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเนื่องจากเหตุผลในด้านความสวยงามลงตัว การประหยัดเวลา หรือด้านระดับความชำนิชำนาญในการจัดการตัดต่อภาพของลูกค้าเอง สิ่งที่เราต้องทำ ก็คือ ใช้ทักษะในการตัดสินใจว่า การตัดส่วนแบบไหนจึงจะดีที่สุดสำหรับภาพนั้น
าพที่ถูก Crop หรือตัดส่วนที่จะขายได้ดีนั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถของช่างภาพ ในการมองหรือคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่า ลูกค้าต้องการอะไรอย่างไร การตัดส่วนที่ดีทำให้ภาพจำนวนมาก ที่ดูไม่น่าสนใจในตอนแรก มีพลังและมีความชัดเจนในเนื้อหาขึ้นแบบหน้ามือเป็นหลังมือ
สำหรับภาพสต็อกแล้ว การมองภาพทุกภาพด้วยกฏการถ่ายภาพเดิม ๆ บางครั้งก็ให้ผลไม่ดีนัก เช่น ทฤษฎียอดนิยมประเภท กฏสามส่วนหรือจุดตัดเก้าช่อง ในตอนแรก ๆ ที่นักถ่ายภาพซึ่งคุ้นกับการถ่ายภาพและวางองค์ประกอบตามกฏการจัดองค์ประกอบทั่ว ๆ ไป มองดูภาพสต็อก พวกเขามักจะรู้สึก “แปลกๆ” เกี่ยวกับความไม่สมดุลในการวางองค์ประกอบภาพ ความรู้สึก “หนัก” ไปข้างใดข้างหนึ่ง หรือแม้แต่การปล่อยพื้นที่ด้านบนให้ว่างมากเกินความจำเป็นอย่างภาพผลเชอรี่สามผลตามตัวอย่าง เป็นสิ่งที่นักถ่ายภาพทั่วๆ ไปอาจจะไม่สามารถยอมรับได้ แต่ภาพสำหรับภาพสต็อกแล้ว มีหลายครั้งที่ช่างภาพต้องทำการตัดส่วนภาพที่ดู “สมดุล” ดีอยู่ในแล้วในฐานะภาพ “สวยงาม” ให้ดู “หนัก” ส่วนใดส่วนหนึ่งมากเกินปกติ ซึ่งนั่นคือวิธีการทำให้ภาพขายดีในฐานะภาพสต็อกขึ้นมาได้ และมักใช้ได้ผลดีเสียด้วย
อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี ไม่ว่าจะเป็นการหลีกเลี่ยงการทำภาพแล้วทำให้ “หัวเอียง” หรือเป็นการ “นำทาง” ให้กับนักออกแบบมือใหม่ก็ตาม ช่างภาพจำนวนหนึ่ง ก็นิยมนำเอาตัวอักษรประเภท “Your Text” หรือ “Text Here” มาใส่ไว้ในพื้นที่ว่าง ๆ ที่มีอยู่จำนวนมากในภาพแทน ซึ่งก็ช่วยคืนความสมดุลให้การดูภาพสำหรับผู้ไม่คุ้นกับการดูภาพแนวสต็อกได้เป็นอย่างดี
วัตถุที่ซับซ้อนมากขึ้น
แน่นอน โดยทั่วไปแทบทุกคนก็คงเห็นด้วยว่า สำหรับภาพประเภทเหรียญวัตถุมงคล ต้นไม้ ทุเรียน หรือเค้ก หรือวัตถุอื่น ๆ ในทำนองเดียวกับภาพประเภทนี้นั้น การวางตำแหน่งวัตถุไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ในการถ่ายภาพจริงๆ นั้น มีบ่อยครั้งที่วัตถุในภาพมีความสลับซับซ้อน หรือมีหลาย ๆ อย่างอยู่ในภาพเดียวกันมากกว่าภาพวัตถุสิ่งเดียวบนพื้นขาว แม้แต่วัตถุอย่างเดียวกัน แต่มีจำนวนหลาย ๆ ชิ้นหรือหลาย ๆ จุดก็เป็นเรื่องยากในบางครั้งในการที่จะถ่ายออกมาให้ภาพไม่ดูแบน ๆ หรือราบเรียบจนหาจุดเด่นไม่ได้
ภาพดอกไม้เป็นตัวอย่างการของหาจุดเด่นของภาพจากสิ่งที่เหมือน ๆ กันไปหมดทั้งภาพ ทักษะการมองภาพลักษณะนี้ มักจะต้องใช้ประสบการณ์ในการฝึกฝนในระดับหนึ่ง การจงใจตัดส่วนให้ดอกไม้รอบ ๆ ดอกเป้าหมายให้ขาดความสมบูรณ์ไปมากบ้างน้อยบ้าง รวมทั้งเทคนิคในการใช้ประโยชน์จากการเลือกจุดโฟกัส ทำให้ดอก “หลัก” ของภาพดูเด่นขึ้นมาได้ทันที
ในบางกรณี การตัดส่วนโดยการเลือกเอาองค์ประกอบที่เล็กสุดแต่ทรงพลังที่สุดของวัตถุหรือของบุคคลมาใช้งาน ก็ได้ผลดีมากเช่นกัน ภาพมือเด็กที่มีผ้าพันแผลเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงการเล่าเรื่องที่ครบถ้วนสมบูรณ์ได้ด้วยองค์ประกอบเล็ก ๆ ง่าย ๆ โดยไม่ต้องถ่ายให้เห็นภาพเด็กครบทั้งตัว ด้วยมือเล็ก ๆ เพียงข้างเดียวนี้ คงจะมีผู้ดูภาพไม่มากนัก ไม่ว่าผู้ดูภาพทั่วไปหรือลูกค้า ที่ดูภาพนี้แล้วจะไม่รับรู้ถึงเนื้อหาที่ภาพนี้ต้องการสื่อสารออกมาว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร อันเป็นจุดประสงค์หลักของการสื่อสารที่ภาพสต็อกที่ดีควรจะมี และภาพนี้ก็เป็นหนึ่งในภาพที่ติดกลุ่มภาพขายดีอันดับแรก ๆ ใน Portfolio ของผมอีกด้วย
สำหรับการถ่ายภาพที่มีคนเป็นส่วนประกอบ หากว่ามีเรื่องของ สายตาและมือเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีคนมากกว่าหนึ่งคนในภาพ รวมทั้งมีเรื่องราวเสริมอื่น ๆ ในเนื้อหาภาพ การเลือกองค์ประกอบต่าง ๆ เข้ามาในภาพ จะต้องได้จังหวะรับกันพอดีจึงจะถือว่าเป็นภาพที่สมบูรณ์ ภาพคุณหมอกับทารกน้อยนี้ถ่ายในห้องที่ไม่กว้างมาก มีข้อจำกัดเรื่องระยะทางจากตัวแบบถึงจุดที่ถ่ายภาพ การเลือกให้ชัดเจนว่าจะตัดองค์ประกอบส่วนใดออกไปบ้างเป็นจำนวนมากน้อยแค่ไหน จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าการตัดส่วนภาพ ให้ความสำคัญกับความครบถ้วนสมบูรณ์ของใบหน้าคุณหมอ ก็จะทำให้ใบหน้าของเด็กถูกตัดออกไปมากกว่านี้ ซึ่งสำหรับมุมมองของผมแล้ว ถ้าภาพเด็กถูกตัดออกไปมากกว่านี้อีกเพียงนิดเดียว ภาพนี้จะลดความสมบูรณ์ลงอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกัน การตัดส่วนคุณหมอออกไปค่อนข้างมาก ก็ไม่ทำให้เนื้อหาของภาพลดความชัดเจนลงมากนัก สำหรับตัวคุณหมอแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดซึ่งจะต้องแสดงไว้ในภาพก็คือ สายตาที่มองลงมายังเด็กนั่นเอง ส่วนที่เหลือนั้น มือของคุณหมอได้ทำหน้าที่เล่าเรื่องได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
ตัดส่วนอย่างท้าทาย เมื่อนักถ่ายภาพคิดนอกกรอบ
การตัดส่วนภาพจะต้องเป็นการทำเพื่อให้ความหมายของภาพยังคงอยู่ครบถ้วน หรือไม่ก็ชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิมดังนั้น ไม่ต้องกังวลในการทำสิ่งที่แหวกแนวหรือฉีกกฏทั่วไป ถ้าหากว่าจุดประสงค์ของภาพยังอยู่ครบถ้วน แค่ถามตัวเองว่า ภาพยังคงมีเนื้อหาที่ต้องการครบถ้วนหรือไม่เมื่อเราได้ทำการตัดพื้นที่บางส่วนออกไปจากภาพนั้นแล้ว
เมื่อจะทำการตัดส่วนภาพที่ดูแล้วหลุดจากกรอบหรือทฤษฎีเดิมๆ ทุกครั้ง ต้องมีความมั่นใจว่า การตัดส่วนภาพอย่างกล้าหาญของคุณ ยังคงทำให้ลูกค้ามีภาพที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ดี คิดถึงรูปทรงและพื้นที่ที่พวกเขาจะยังคงใช้งานภาพนั้นได้หลังจากที่คุณได้ตัดสินใจตัดส่วนภาพของคุณไปแล้ว เหมือนกับการตัดบางส่วนของศรีษะคนในภาพตัวอย่างออกไป แน่นอนว่ามันดูแปลกและอาจจะผิดหลักการจัดองค์ประกอบภาพทั่วไปอยู่บ้าง แต่ภาพนี้ก็ยังคงมีพื้นที่สำหรับงานออกแบบ และที่สำคัญ ยังคงมีเนื้อหาสาระที่ชัดเจนครบถ้วนทุกประการ แม้แต่ภาพดอกไม้ที่มองเห็นภาพไม่ครบทั้งดอก รวมทั้งมีส่วนเบลอ ๆ มาบังส่วนที่เป็นเกสรเอาไว้ ก็ยังคงมีเรื่องราวที่ครบถ้วนสมบูรณ์ได้
Crop ภาพถูกวิธี เหมือนมีวัตถุให้ถ่ายเพิ่มขึ้น
การถ่ายภาพและตัดส่วนภาพ มักจะไม่ได้มีวิธีที่ดีที่สุดหรือมุมที่ดีที่สุดเพียงวิธีเดียวหรือมุมเดียว ดังนั้น บางครั้ง จึงมีการส่งภาพที่มีความแตกต่างหลาย ๆ มุมไปยังไมโครสต็อก วัตถุอย่างเดียวกัน หากมีการตัดส่วนหรือ Crop อย่างมีหลักการในขณะถ่าย ก็เท่ากับว่าเรามีวัตถุให้ถ่ายเพิ่มขึ้นกลาย ๆ เช่น ดอกบัวดอกหนึ่ง หากว่าถ่ายให้เห็นทั้งดอกเต็มๆ โดยไม่ยอมเจาะถ่ายเป็นส่วน ๆ ถ่ายได้ภาพหรือสองภาพก็อาจจะหมดมุขได้ แต่ถ้ารู้จักแยกส่วนดี ๆ ดอกบัวดอกเดียวก็มีโอกาสได้ภาพดี ๆ เพิ่มขึ้นไม่น้อย แน่นอนว่าผู้ใช้งานหรือลูกค้าที่แตกต่างกัน ย่อมมีความต้องการที่แตกต่างกัน การถ่ายภาพให้มีความหลากหลาย ทำให้ช่างภาพเองมีโอกาสในการขายมากขึ้น ผู้ตรวจสอบภาพของไมโครสต็อก จะช่วยเราตัดสินอีกแรงหนึ่ง ว่ามุมมองเราหลายหลายพอหรือไม่ แม้ว่าช่างภาพสต็อกบางคนจะไม่ชอบวิธีการนี้ แต่สำหรับมือใหม่หรือผู้ที่ยังชอบถ่ายภาพแบบ “สิ่งเดียวช็อตเดียว” ผมอยากขอให้ลองถ่ายภาพตัดส่วนแบบนี้ดูบ้าง นอกจากจะเป็นการฝึกมุมมองในการถ่ายภาพแล้ว ยังเป็นการเพิ่มโอกาสสำหรับจำนวนภาพที่มากขึ้นใน Portfolio ของคุณเอง
เมื่อคุณส่งภาพวัตถุอย่างเดียวกันในหลาย ๆ มุมจากการถ่ายในชุดเดียวกัน สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเป็นสิ่งต้องห้าม ใคร ๆ ก็ทำกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องเลือกภาพที่ดีที่สุดในแต่ละมุม และต้องเป็นมุมที่แตกต่างกันจริง ๆ เท่านั้น ภาพที่ดูแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยไม่มีประโยชน์อะไร การเสียเวลาในการหามุมเพิ่มขึ้น และเลือกภาพที่แตกต่างกันมากขึ้นนั้น จะเป็นสิ่งดีสำหรับ Portfolio ของคุณมากกว่าอย่างแน่นอน
ในบางกรณี การตัดส่วนภาพ อาจจะไม่ได้เกิดจากความต้องการหรือความเหมาะสมของตัววัตถุเพียงอย่างเดียว ข้อจำกัดของระยะเวลาและอุปกรณ์ก็อาจจะเป็นที่มาของการตัดส่วนภาพได้ การได้ไปยืนในจุดที่คิดว่าถ่ายภาพออกจากแล้วน่าจะเป็นภาพสต็อกที่ดี เช่นภาพนี้ถ่ายบนตึกสูง ถ้าตามที่คิดไว้จริง ๆ แล้ว ต้องแพนกล้องถ่ายหลาย ๆ ภาพ แล้วนำมาต่อกันเป็นภาพพานอรามา จึงจะได้ภาพที่ใหญ่ตามต้องการ หรือไม่ก็มีเลนส์ทางยาวโฟกัสสูง ๆ เพื่อให้ได้ภาพที่เต็มเฟรมมากกว่านี้ แต่ในเมื่อมีเวลาเพียงไม่เกินหนึ่งนาทีกับเลนส์ที่มีทางยาวโฟกัสจำกัดเพียงตัวเดียว การถ่ายภาพตาม “หน้างาน” แล้วใช้การตัดส่วนเป็นพระเอกมาช่วยเหลือในภายหลังจึงเป็นทางเลือกที่ดี ภาพนี้ผ่านทั้ง Shutterstock และ iStockphoto และมีดาวน์โหลดค่อนข้างดี แม้จะตัดส่วนแล้วเหลือขนาดภาพ 8 ล้านพิกเซลเท่านั้น จากต้นฉบับขนาด 12 ล้านพิกเซล
อัตราส่วนของภาพไม่ใช่สิ่งที่ต้องเป็นกังวล ไมโครสต็อกไม่ได้กำหนดอัตราส่วนมาตรฐานตายตัวใด ๆ จะกว้างเท่าไหร่สูงเท่าไหร่ หากว่าเอาสองด้านมาคูณกันแล้ว เกิน 4 ล้านพิกเซลก็ถือว่าใช้ได้ ภาพที่ตัดส่วนแล้วเหลือ 5 ล้านพิกเซล ถ้าเนื้อหาเด่น ก็มีโอกาสขายได้มากกว่าภาพ 22 ล้านพิกเซลที่เนื้อหาธรรมดา ๆ อย่างแน่นอน จริงๆ แล้วยังมีนักถ่ายภาพสต็อกจำนวนหนึ่ง ชอบและตั้งใจจะตัดส่วนภาพให้เป็นสัดส่วนที่ไม่ธรรมดาเสียด้วยซ้ำ แบบที่นิยมกันมากก็คือ ตัดส่วนภาพให้เป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส บางคนบอกว่า ตัดแบบนี้แล้วทำให้การแสดงภาพ Thumbnails ในไมโครสต็อกดูสวย ได้ภาพใหญ่ขึ้น และบางคนก็ว่า ดูเหมือนภาพที่มีสัดส่วนแบบนี้ จะขายดีกว่าภาพสัดส่วนปกติเสียด้วยซ้ำครับ ไม่ลองไม่รู้ ก็ทดลองกันด้วยตัวเองได้รับ ไม่เสียหายอะไร