ปกติแล้วในการถ่ายภาพเพื่อจุดมุ่งหมายสำหรับขายเป็น Stock Photography (จริงๆ แล้วก็คงเหมือนกันทุกแนวภาพนั่นแหละครับ ยกเว้นภาพแนวศิลป์ที่ตั้งใจถ่ายให้ Noise กระจายสุดๆ ซึ่งคงจะนานๆ สักทีที่จะมีคนอยากเล่นแนวนี้) ค่า ISO ที่ควรจะใช้ที่สุดก็คือ ISO 100 เพราะตามทฤษฎีการถ่ายภาพแล้ว ค่านี้ (หรือต่ำกว่าถ้ากล้องของคุณให้เลือกได้) ถือว่าเป็นค่าที่ให้คุณภาพโดยรวมทั่วไป เช่น ความอิ่มตัวของสี ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค่า ISO ดังกล่าวนี้ จะมีโอกาสเกิดจุดรบกวนประเภท Noise หรือ น้อยส์ ต่ำที่สุด ซึ่งเจ้า Noise นี้เป็นถือเป็นศัตรูอันดับต้นๆ ของภาพถ่ายประเภท Stock Photography เลยทีเดียว การถ่ายและการตกแต่งภาพสำหรับการนี้ จะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ทั้งในส่วนของการป้องกันและการแก้ไข
การป้องกันก็คือ ในขั้นตอนการถ่ายภาพ จะต้องใช้และปรับตั้งอุปกรณ์ถ่ายภาพ รวมทั้งการพยายามเลือกสภาพแสงหรือทิศทางแสงที่ทำให้เกิด Noise ในขั้นตอนการถ่ายภาพน้อยที่สุด ซึ่งขั้นตอนนี้ ถ้าสามารถเลือกและทำได้จนไม่มี Noise อยู่ในไฟล์ภาพดิบๆ ตั้งแต่การถ่ายครั้งแรก ก็ถือว่าเยี่ยมที่สุด ไฟล์ภาพจะมีคุณภาพดีที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องไปปรับแต่งหรือแก้ไขภายหลัง และบรรดาขุนอิน หรือผู้ตรวจสอบภาพ (Inspector) ของไมโครสต็อกก็ชอบภาพที่มี Noise ในปริมาณน้อยตั้งแต่ขั้นตอนการถ่ายเป็นอย่างมาก เพราะภาพจะดูสบายตา และไม่ต้องเพ่งพินิจพิจารณากันนานนักว่าจะให้ผ่านหรือไม่ผ่าน
ส่วนการแก้ไข ก็คือไม่ใช่ว่า นักถ่ายภาพจะสามารถถ่ายภาพทุกภาพในทุกสถานการณ์ได้ด้วยค่า ISO ต่ำๆ ได้เพียงอย่างเดียว มีสถานการณ์มากมายที่จำเป็นต้องเลือกระหว่างการถ่ายภาพให้มีสีสันสดใส มี Noise เกิดขึ้นน้อย แต่มีคุณภาพบางด้านเช่น ความคมชัด ความรวดเร็วคล่องตัวในการถ่ายภาพ ฯลฯ น้อยลง เนื่องจากการใช้ ISO ต่ำ กับการยอมให้ภาพมีสีสันจืดลงไป มี Noise เกิดขึ้นมากมาย แต่ได้ภาพที่คมชัดในระดับใช้งานได้ดีกว่า มีความคล่องตัวเหมาะสมกับสถานการณ์ในการถ่ายภาพ (เช่น สถานที่ที่ต้องถ่ายภาพอย่างรวดเร็ว หรือไม่สามารถใช้ขาตั้งกล้องได้ เป็นต้น) แล้วค่อยมาแก้ไขภาพที่ได้มาภายหลังด้วยโปรแกรมตกแต่งภาพ ก็เป็นวิธีที่ได้ผลดีในระดับหนึ่งเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าผ่านการปรับแต่งและแก้ไขด้วยวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสม ภาพที่ถ่ายด้วย ISO สูงๆ มี Noise จำนวนมากมายจนดูเหมือนเกินพิกัดในขั้นตอนการถ่าย ก็สามารถเป็นภาพสต็อกที่ดีได้เช่นกัน
คำว่า ISO สูงๆ ในความหมายทั่วๆ ไป ผมคิดว่า น่าจะเป็น ISO สัก 800 หรือมากกว่านี้ กล้องถ่ายภาพดิจิตอลโดยทั่วไปในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่ก็ให้คุณภาพของภาพที่ ISO 400 ได้ดีพอประมาณ โดยเฉพาะกล้องรุ่นใหม่ๆ และกล้องในรุ่นสูงๆ รวมทั้งกล้องประเภทฟูลเฟรม มักจะไม่ค่อยต้องกังวลเรื่องนี้มากนัก แต่สำหรับ ISO 800 ขึ้นไป กล้องส่วนใหญ่ก็ให้ภาพที่อาจจะไม่ค่อยเหมาะสมนักในการใช้งานเชิงพาณิชย์ใน ประเภทภาพสต็อกโดยที่ไม่มีการปรับแต่งที่เหมาะสม แต่อย่าไปกังวลมากนัก ถ้าเรารู้วิธีเล่นกับมัน ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
ถ้าใช้ Keyword คำเดียว คำว่า marathon ค้นหาภาพใน Shutterstock เลือกภาพประเภท Photo เรียงลำดับแบบ Popular ในขณะนี้ (บทความนี้เขียนเมื่อวันที่ 3 เดือนสิงหาคม พ.ศ.2555) ภาพลำดับต้นๆ (อย่างน้อยก็อยู่หน้าแรก) ของการค้นหานี้ จะเป็นภาพหมายเลข 107608997 ซึ่งเป็นภาพของผมเอง ภาพนี้มีดาวน์โหลดในปริมาณที่ถือว่าเร็วและแรงมากเมื่อเทียบกับระยะเวลาที่อัปโหลดเข้าไป ที่พิเศษคือ ภาพนี้ถ่ายด้วย ISO 2500
ทำไมต้อง ISO 2500 เนื่องจากเป็นการถ่ายภาพในตอนรุ่งเช้าที่มีแสงค่อนข้างน้อย ตัวแบบคือนักวิ่งมาราธอนที่กำลังวิ่งผ่านจุดบริการน้ำ การวิ่งมาราธอนในประเทศเขตร้อนค่อนข้างถ่ายภาพยาก เพราะว่าเพื่อไม่ให้นักวิ่งมีปัญหาเรื่องความร้อน จึงนิยมปล่อยตัวออกจากจุด Start กันตั้งแต่ตีสามตีสี่ แล้วเช้าเส้นชัยเอาตอนสว่างนิดๆ ประมาณหกนาฬิกาไม่เกินเจ็ดนาฬิกา เวลาขนาดนี้ ในวันที่ฟ้าครึ้มๆ สักนิด แสงจะมีน้อย ยิ่งเป็นการถ่ายที่มีจุดมุ่งหมายจะใช้ความไวชัตเตอร์สูงๆ เพื่อหยุด Action บางอย่างของนักวิ่งให้นิ่งสนิท เช่น การหยิบหรือรับน้ำจากจุดบริการน้ำ ซึ่งจะต้องใช้ความไวชัตเตอร์ราวๆ 1/1000 จึงจะมีโอกาสได้ภาพในรูปแบบที่ว่านั้น (โดยไม่ต้องการใช้แฟลชและขาตั้งกล้องด้วย เพื่อความคล่องตัวและไม่รบกวนนักวิ่งรวมทั้งเจ้าหน้าที่ประจำจุดบริการน้ำในการถ่ายภาพ) การใช้ ISO ที่ต่ำกว่า 1600 จึงแทบจะเป็นเรื่องที่ลืมไปได้เลย ยิ่งเลนส์ที่ใช้เป็นเลนส์ที่ไวแสงน้อย ประมาณ f/4 ขึ้นไป ก็ยิ่งทำให้จำเป็นต้องพึ่งพาการดัน ISO มากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผมใช้ Canon EOS 5D MK II กับเลนส์ EF 70-200 f/4 L IS ในปฏิบัติการครั้งนี้ ใช้ระบบ AV ในการถ่ายภาพ ระบบวัดแสงเฉลี่ยหลายส่วน ระบบโฟกัส AI Servo เพื่อให้การโฟกัสง่ายขึ้น ร่วมกับการถ่ายภาพแบบต่อเนื่อง ตั้ง White Balance ไว้ที่ Auto (อันนี้ไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่ เพราะถ่ายด้วยไฟล์แบบ RAW อยู่แล้ว ถ้าไม่ถูกต้อง แก้ทีหลังได้ง่ายมาก) ซูมเลนส์ไว้ที่ 200 มม. เพื่อให้ตัวเองอยู่ห่างจากจุดให้น้ำมากพอสมควร จะได้ไม่เกะกะนักวิ่งและเจ้าหน้าที่ ลองยกกล้องขึ้นส่องแล้วลองปรับค่า ISO หลายๆ ค่าเพื่อหาค่าที่ให้ความไวชัตเตอร์ใกล้เคียงกับ 1/1000 ตามที่ต้องการ ลองไปลองมาก็ตัดสินใจตั้ง ISO ไว้ที่ 2500 เตรียมใจสำหรับ Noise ไว้แล้วว่า ถึงอย่างไรก็มาเยอะแน่นอน แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงในตอนนั้น คือต้องการภาพที่ได้ Action ของนักวิ่งในลักษณะนี้ไว้ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
ภาพต้นฉบับที่ยังไม่ปรับแต่งใดๆ
โฟกัสภาพเบื้องต้นไว้ที่ถ้วยน้ำใบใดใบหนึ่ง พอเห็นมือนักวิ่งเข้ามาใกล้แก้วน้ำ ก็กดชัตเตอร์ถ่ายภาพแบบต่อเนื่องลากยาวเป็นชุด ชุดละสี่ห้าภาพแล้วแต่ความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม รายละเอียดเท่าที่เล่ามา บางอย่างอาจจะไม่เหมือนกับหลักการหรือเทคนิคการถ่ายภาพกีฬาของช่างภาพกีฬามืออาชีพจริงๆ ก็ได้ เพราะบอกตามตรงว่านอกจากถ่ายภาพลูกวิ่งกีฬาสีที่โรงเรียนแล้ว ผมก็ไม่เคยถ่ายภาพกีฬาแบบตั้งใจเป็นการเป็นงานแบบนี้มาก่อน ถึงจะทำการบ้านเรื่องการถ่ายภาพแบบนี้มาบ้าง แต่พอเอาเข้าจริงก็ตื่นเต้นมือสั่นกับเขาเหมือนกัน การจับจังหวะต่างๆ ในการกดชัตเตอร์ก็ต้องเรียนรู้กันใหม่หมดจากสถานการณ์จริงๆ ถ่ายไปเช็คจอ LCD ไปตลอดเวลา รวมๆ แล้วกดไปร่วมสามร้อยกว่าภาพ ได้ภาพที่พอไปวัดไปวาได้อยู่ไม่กี่ภาพ หนึ่งในนั้นก็คือภาพนี้ครับ
Noise จากภาพต้นฉบับที่ยังไม่ปรับแต่ง
หลังจาก Import ภาพเข้าโปรแกรม Lightroom แล้ว ก็เป็นไปตามคาด ภาพดิบๆ ที่ยังไม่ได้ปรับแต่ง เต็มไปด้วย Noise แต่ก็มีความคมชัดในระดับใช้การได้ (จริงๆ แล้วไม่ถึงกับคมกริบ แต่ก็ไม่เบลอจนน่าเกลียด) งานนี้ก็ไม่ยากครับ ตัวลด Noise ใน Lightroom ช่วยได้เป็นอย่างดี หลังจากปรับค่าต่างๆ ตามที่ต้องการแล้วก็ค่อยๆ ลากตัวลด Noise ประเภท Luminance อย่างเดียว ไปทางขวา 60 ก็ได้ภาพที่ดูดีไม่มี Noise (การลด Noise ด้วย Lightroom นั้น มือใหม่บางคน ลากไปทางขวารวดเดียว 100 เลย ซึ่งก็ได้ผลครับ คือ Noise หายเกลี้ยง แต่ก็ได้ผลข้างเคียงแถมมาด้วย คือภาพเนียนเรียบจนรายละเอียดที่ควรจะเหลืออยู่บ้างหายเกลี้ยงเช่นกัน ดังนั้นการลด Noise ด้วย Lightroom ต้องใจเย็นๆ ค่อยๆ ลากไปดูไป แต่ละภาพมีความจำเป็นในการลดไม่เหมือนกัน มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่กรณี)
หลังจากการปรับแต่งใน Lightroom เรียบร้อยแล้ว ก็ส่งไปเข้า Photoshop เพื่อจัดการลบ โลโก้ หรือพวกสัญลักษณ์ต่างๆ บนแก้วน้ำ บนเสื้อนักวิ่งออกไปให้หมด (สำหรับภาพที่จะขายแบบ Royalty Free เท่านั้นครับ ส่วนพวกภาพที่ตั้งใจจะขายแบบ Editorial ไม่ต้องลบพวกนี้ออก) เนื่องจากภาพที่ถ่ายด้วย ISO สูงขนาดนี้ เนื้อภาพเดิมๆ จะมีความคมและรายละเอียดน้อยกว่าภาพที่ถ่ายด้วย ISO ต่ำๆ อยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงใช้คำสั่ง Filter >>> Shapen >>> Unsharp Mask เพื่อเพิ่มความคมชัดเล็กน้อย ค่าส่วนใหญ่ที่ใช้ก็ประมาณ Amount 100 Radius 2 Threshold 2 สำหรับภาพประมาณนี้ (ค่าพวกนี้อย่าถือเป็นสูตรสำเร็จนะครับ ใช้เป็นแนวทางก็พอ การปรับจริง ก็แล้วแต่ความชอบและความเหมาะสมกับภาพนั้นๆ เป็นหลัก ประเด็นก็คืออยากบอกว่า การทำ Unsharp Mask นั้นไม่มีปัญหาสำหรับ Microstock แต่อย่างใด เมื่อก่อนผมก็ไม่ค่อยกล้าทำ เดี๋ยวนี้ ภาพไหนรู้สึกว่าไม่คมชัดเต็มร้อย ก็จะทำ Unsharp Mask ทุกภาพไป บางภาพก็เล่นค่อนข้างหนัก ซึ่งก็ยังผ่านการตรวจเป็นส่วนใหญ่ครับ)
ในชุด Marathon Runners นี้ยังมีภาพที่ถ่ายด้วย ISO สูงๆ อีกหลายภาพ บางภาพก็ดันไปถึง ISO 3200 ด้วยซ้ำ ก็ผ่าน และขายได้ครับ ตามภาพตัวอย่างด้านล่างนี้
ภาพที่ผ่านการปรับแต่งแล้ว
Noise จากภาพต้นฉบับที่ยังไม่ปรับแต่ง ISO 2500
ภาพที่ผ่านการปรับแต่งแล้ว ส่งแบบ Editorial
Noise จากภาพต้นฉบับที่ยังไม่ผ่านการปรับแต่ง ISO 3200
ภาพที่ผ่านการปรับแต่งแล้ว ส่งแบบ Editorial
Noise จากภาพต้นฉบับที่ยังไม่ผ่านการปรับแต่ง ISO 3200
ภาพที่ผ่านการปรับแต่งแล้ว ส่งแบบ Editorial
Noise จากภาพต้นฉบับที่ยังไม่ผ่านการปรับแต่ง ISO 3200
หวังว่าโอกาสต่อไป คงจะหายเกร็งหรือวิตกกังวลกับการใช้ ISO สูงๆ ในการถ่ายภาพสต็อกกันทุกท่านครับ